ACSC เบรกโอนทันควัน! ช่วย 18 เหยื่อรอดกว่า 3.7 ล้าน เปิดสถิติปลายปี คดีพุ่ง–เงินเสียหายทะลุ 485 ล้าน

78

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์​ (ACSC) ระงับเหยื่อโอนเงินทัน 18 ราย ยอดเงินกว่า 3 ล้านบาท พร้อมเปิดสถิติรอบสัปดาห์นี้ เร่งปิดกั้นเว็บไซต์หลอกลวง ป้องกันความเสียหายเพิ่ม

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ภายใต้การอำนวยการ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์
รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. เปิดสถิติคดีและความเสียหายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังมีการดำเนินการสืบสวนจับกุมพร้อมช่วยเหลือเหยื่อจากการถูกหลอกลวงภายใต้ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ตั้งแต่วันที่ 21-27 ธ.ค.68 มีคดีที่รับแจ้งเข้ามาผ่านทาง Thaipoliceonline จำนวน 6,899 คดี มูลค่าความเสียหาย 485,096,067 บาท (เฉลี่ยประมาณ 69.30 ล้านบาทต่อวัน) ซึ่งคดีที่รับแจ้งรอบนี้เพิ่มขึ้นจากห้วงวันที่ 14-20 ธ.ค. 68 จำนวน 56 คดี และพบว่ามูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 58,131,239 บาท พบว่าแม้ภาพรวมจำนวนคดีจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ความเสียหายกลับพุ่งสูงขึ้นเป็นอย่างมาก สะท้อนว่าแม้จำนวนครั้งที่เกิดเหตุจะเพิ่มขึ้นไม่มากแต่ความรุนแรงต่อคดีสูงขึ้น มิจฉาชีพสามารถหลอกเงินจำนวนมากได้สำเร็จในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปลายปีที่มีคนใช้จ่ายและได้รับโบนัส

หากนับเชิงปริมาณของคดีที่มีการแจ้งเข้ามา อันดับ 1. ยังคงเป็นการหลอกซื้อขายสินค้าออนไลน์ แต่รอบนี้มีจำนวนมากถึง 73.8 เปอร์เซ็นต์ โดยคนร้ายเน้นหลอกคนจำนวนมาก กระจายตัวกว้าง แม้ว่ามูลค่าต่อคดีจะไม่สูงนัก แต่ก็ยังเป็นภัยคุกคามวงกว้าง เป็นคดีที่เกิดขึ้นง่ายและมีความถี่สูงมากเมื่อเทียบกับคดีประเภทอื่น ขณะที่อันดับ 2. คือการหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลฯ และอันดับที่ 3. คือการหลอกให้โอนหารายได้พิเศษ เช่นเดียวกับสัปดาห์ที่แล้ว

ขณะที่หากเทียบในเชิงมูลค่าความเสียหายพบว่าอันดับคดีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยอันดับ

  1. ที่ก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายสูงสุด กลับมาเป็นของ คดีหลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ขณะเดียวกันอันดับ2. เป็นการหลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้พิเศษ ที่แซงขึ้นมา ส่วนอันดับ 3. การข่มขู่ท่างโทรศัพท์ ปรากฏเป็นประเภทคดีใหม่ที่ขยับอันดับขึ้นมาแทนที่คดีหลอกโอนเงินเพื่อรับรางวัลฯ

ศูนย์ต่อต้านการฉ้อโกงออนไลน์ (ACSC) ได้สรุปรายงานสถิติประจำสัปดาห์ที่ผ่านมา (21-27 ธ.ค.68) ในส่วนแพลตฟอร์มดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต ดังนี้

  1. สถิติการรับแจ้งความรายแพลตฟอร์มดิจิทัล พบว่า FACKBOOK 4,422 เคส (เพิ่มขึ้น 1,044 เคส หรือ 30.9%), LINE 876 เคส (ลดลง 64 เคส หรือ 6.8%) และ TIKTOK 326 เคส (เพิ่มขึ้น 73 เคส หรือ 28.9%)
  2. สถิติการปิดกั้น ตรวจพบ 5,828 URLs ดำเนินการปิดกั้นแล้ว 5,493 URLs (คิดเป็น 94.3%) โดยเฉพาะบนแพลตฟอร์ม FACKBOOK มีการปิดกั้นเฉลี่ยวันละ 742 URLs นอกจากนี้ ในกลุ่มการหลอกลวงด้านการลงทุนและการลงทุนที่ไม่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ตรวจพบ 1,047 URLs ปิดกั้นแล้ว 1,015 URLs (คิดเป็น 96.9%)

โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเคสรับแจ้งผ่านทางศูนย์ ACSC และสามารถประสานงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน ประกอบกับประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าตรวจสอบพร้อมช่วยเหลือเหยื่ออย่างทันท่วงที โดยเป็นการเข้าตรวจสอบทั้งหมด 10 เคส และเราสามารถช่วยเหลือรวมทั้งระงับการโอนเงินของผู้เสียหายก่อนจะโอนเงินไปยังบัญชีของมิจฉาชีพได้ทั้งหมดจำนวน 18 ราย คิดเป็นจำนวนเงินกว่า 3,700,105 บาท สามารถจับกุมได้ 2 คดี

สำหรับเคสการช่วยเหลือที่น่าสนใจและมีมูลค่าสูง ได้แก่

เคสที่1 เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.มีนบุรี เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นหญิงวัย 57 ปี หลังพบว่ากำลังโอนเงินเข้าบัญชีม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบไปพบผู้เสียหายก่อนระงับการโอนเงิน พร้อมแจ้งให้ทราบว่ากำลังถูกมิจฉาชีพหลอก โดยคนร้ายชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนผ่านทางไลน์ ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินไปลงทุน มูลค่าความเสียหายรวม 2,410,300 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้ผู้เสียหายรวบรวมพยานหลักฐานและเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

เคสที่2 เจ้าหน้าที่ warroom ศูนย์ ACSC ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุโขทัย เข้าช่วยเหลือผู้เสียหาย เป็นหญิงวัย 63 ปี หลังพบว่ากำลังโอนเงินเข้าบัญชีม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงรีบไปพบผู้เสียหายพร้อมอธิบายเหตุการณ์ให้ผู้เสียหายรู้ตัวว่าถูกหลอก ให้หยุดโอนเงินทันที โดยเคสนี้ผู้เสียหายพบโฆษณารับสินค้าทดลองฟรีผ่านทางเฟซบุ๊ก ก่อนจะถูกชักชวนเข้ากลุ่มไลน์เพื่อร่วมเล่นกิจกรรมแล้วถูกหลอกให้โอนเงินไปเรื่อยๆ โดยในช่วงแรกได้รับผลตอบแทน มิหนำซ้ำยังสามารถถอนเงินออกมาได้จริง ต่อมาเมื่อโอนเงินจำนวนมากขึ้น กลับไม่สามารถถอนเงินได้ คนร้ายอ้างว่าทำรายการผิดพลาดต้องโอนเงินเพิ่ม ผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายอีก รวมมูลค่าความเสียหาย 934,005 บาท เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรวบรวมพยานหลักฐานและพาผู้เสียหายเข้าแจ้งความเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายทันที

“การเผยแพร่ข่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะของประชาชนให้รู้เท่าทันภัยอันตรายรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างการตระหนักรู้เป็นวงกว้าง​ ทั้งนี้ ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังเป็นผู้บริสุทธิ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด

ดังนั้น สำหรับการเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชน ขอให้พิจารณาถึงประโยชน์และสิทธิของผู้ต้องหาข้างต้น”