“ช้างเป็นสัตว์ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ร.9) ทรงรักทรงห่วงใย โดยเฉพาะช้างทางกุยบุรีและแก่งกระจานทรงห่วงใยมาตลอด ทรงช่วยหาที่อยู่ที่กินให้ช้าง จะได้ไม่รบกวนคนกับช้าง จะได้มีปัญหากันน้อยที่สุดเช่น ที่กุยบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ช้างมีความสำคัญมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ เคยช่วยรักษาบ้านเมืองกู้บ้านกู้เมือง ดังนั้น ขอให้ช่วยกันดูแลมิให้ช้างถูกฆ่าอย่างทารุณเยี่ยงนี้ เพื่อจะได้ไม่ผิดพระราชประสงค์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะให้มีการอนุรักษ์ช้างให้เป็นสัตว์คู่แผ่นดินสืบไป” พระราชเสาวนีย์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถพระบรมราชชนนีพันปีหลวง 5 มกราคม 2555

แม้จะมีพระราชเสาวนีย์ดังกล่าว แต่ปัญหาช้างป่าออกนอกพื้นที่อนุรักษ์รุกล้ำเข้าชุมชน และพื้นที่เกษตรกรรม เป็นวิกฤติที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบริเวณ “ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก” ข้อมูลจาก Green News ระบุว่าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุทำให้ประชาชนบาดเจ็บ 116 ราย และเสียชีวิต 135 ราย สร้างความเสียหายต่อชุมชน และพื้นที่เกษตรปีละหลายร้อยล้านบาท วิกฤติที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงกระทบ “ชีวิตคน” แต่ยังลุกลามถึง “วิถีชีวิต” ของชุมชน ทั้งผลผลิตที่ถูกทำลาย รายได้ที่ลดลง และความหวาดกลัวในการออกทำการเกษตรของชาวบ้าน

แล้วปัญหาช้างป่าจะลงตัวที่ตรงไหน เพื่อให้คนกับช้างอยู่ร่วมกันบนผืนป่าได้ นายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร เปิดเผยว่า สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) หรือ ARDA ได้สนับสนุนทุนวิจัยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินโครงการ “การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของหมู่บ้านคชานุรักษ์ในพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดภาคตะวันออก” โดยมี รศ.ดร.อรพรรณ คงมาลัย เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย เพื่อยกระดับการผลิตสมุนไพรของชุมชน จากระดับใช้ในท้องถิ่นสู่มาตรฐานเชิงพาณิชย์

โครงการนี้เป็นการต่อยอดจาก “โครงการพัชรสุธาคชานุรักษ์” ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โดยมีเป้าหมายพัฒนาต้นแบบชุมชนที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน สามารถพึ่งพาตนเองได้และลดความสูญเสียจากช้างป่า โดยโครงการได้ส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการปลูกพืชสมุนไพรเพื่อสร้างรายได้เสริม ทั้งในรูปแบบผลผลิตสดและผลิตภัณฑ์แปรรูป เนื่องจากที่ผ่านมาชุมชนมีการปลูกสมุนไพรแต่ยังขาดองค์ความรู้ในการนำเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมสมัยใหม่มาแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐาน ทางชุมชนจึงทำได้เพียงปลูกใช้ และจำหน่ายในชุมชนเท่านั้น
ปัจจุบันโครงการนี้ได้ดำเนินโครงการมา 1 ปี ในพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัด ได้แก่ บ้านคลองเตย จ.ฉะเชิงเทรา, บ้านเขาใหญ่ จ.ชลบุรี และบ้านคลองตาอิน จ.จันทบุรี สร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรกว่า 300 ครัวเรือน รวมกว่า 1 ล้านบาท และในอนาคตมีแผนขยายผลการดำเนินงานเพิ่มเติมขึ้นอีก 10 จังหวัด

รศ.ดร.อรพรรณ คงมาลัย หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางโครงการได้นำองค์ความรู้เชิงลึกด้านสมุนไพรตั้งแต่การเตรียมดิน การดูแล รวมถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต มาถ่ายทอดสู่ชุมชนอย่างเป็นระบบ เพื่อยกระดับคุณภาพผลผลิตและสร้าง “แนวกันชนชีวภาพ” ที่ช่วยลดความเสียหายจากช้างป่าในพื้นที่เกษตรได้จริง และมีประสิทธิผล
พร้อมกันนี้ ทีมวิจัยยังได้พัฒนาเทคโนโลยี และนวัตกรรมการแปรรูปสมุนไพรให้เกิดมูลค่าสูงขึ้น อาทิ สเปรย์ตะไคร้หอมไล่ยุง น้ำมันสมุนไพรไพลคลายเส้น สเปรย์น้ำมันกระดูกไก่ดำ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบที่ช่วยให้ชุมชนขายผลผลิตได้ราคาสูงขึ้น และขายได้ตลอดปี โดยไม่ต้องพึ่งพาการขายผลผลิตสดเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการความร่วมมือกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) พัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำชุมชน และส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำได้อย่างยั่งยืน อาทิ การติดตั้งระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ การประยุกต์ใช้ระบบ IoT สำหรับกระจายน้ำในพื้นที่เพาะปลูกสมุนไพร และการใช้ฐานข้อมูลเพื่อติดตามผลผลิตอย่างเป็นระบบ

ด้านนายสมร มุทุจิตต์ ผู้ใหญ่บ้านและคณะกรรมการป่าชุมชน จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า ตนทำการเกษตรกว่า 35 ไร่ ปลูกพืชไร่มากว่า 13 ปี โดยพบช้างป่าเข้าทำลายผลผลิตครั้งแรกปี 2549 และรุนแรงขึ้นในปี 2552 จนชุมชนเสียหายหนัก แม้ทุกคนรักป่าและไม่อยากทำร้ายช้าง แต่ก็ต้องมีรายได้เลี้ยงครอบครัว จึงรวมกลุ่มตั้งวิสาหกิจชุมชนปลูกสมุนไพรที่ช้างไม่กิน เพื่อสร้างรายได้ใหม่ และลดความขัดแย้งกับช้างป่า
อย่างไรก็ตาม ชุมชนยังขาดความรู้ด้านการปลูกสมุนไพรให้ได้มาตรฐาน กระทั่งเข้าร่วมโครงการฯ มีทีมนักวิจัยจึงลงพื้นที่ถ่ายทอดความรู้ ทั้งการผลิตตามมาตรฐาน GAP การแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชน พร้อมช่วยเปิดช่องทางตลาดผ่าน OTOP งานจังหวัด และแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งผลให้รายได้ชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในเวลาไม่นาน
“อย่างแรกเลย ผมต้องขอบคุณ ARDA และทีมนักวิจัยทุกท่านมาก ๆ ทุกวันนี้พวกผม ไม่ต้องกลัวออกไร่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะเมื่อมีความรู้ดี ก็มีทางทำมาหากินที่มั่นคงขึ้น ตอนนี้ทางกลุ่มฯ เริ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์ออกจำหน่ายในท้องตลาดบ้างแล้ว จากตะไคร้ขาย 3 บาท/กก. วันนี้แปรรูปเป็นน้ำมันได้ 1,800–2,000 บาท/ลิตร หรือ ขมิ้นสด ราคา 15−20 บาท/กก. แปรรูปอบแห้งขายได้ได้ 90−95 บาท/กก. เห็นได้ชัดเลยว่าความรู้ที่ได้รับสามารถนำไปใช้ได้จริง และช่วยยกระดับรายได้ของชุมชน พวกเราจึงตั้งใจว่าจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นต่อไป เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้ในระยะยาวครับ”
โครงการนี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาช้างป่า หากแต่เป็น ต้นแบบของการใช้งานวิจัยสร้างสมดุลระหว่างคน–ช้าง–ป่า ผ่านนวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริงในชุมชน สะท้อนชัดว่า “งานวิจัย” สามารถเปลี่ยนความขัดแย้งให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจและการอนุรักษ์ได้ในเวลาเดียวกัน และนี่คือบทบาทของ ARDA ในการผลักดัน เศรษฐกิจสีเขียว ที่เติบโตบนฐานของความรู้และความยั่งยืนเพื่อให้ช้างอยู่ได้ คนอยู่รอด และผืนป่าไทยคงอยู่ต่อไปอย่างมั่นคง

