เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 26 ธ.ค.68 นางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี นำทหารหญิงยศ “ร.ท.” อายุ 29 ปี สังกัดกรมทหารแห่งหนึ่ง ที่เข้าร้องทุกข์ ถูก “พล.ท.” อายุ 63 ปี นอกราชการ เลี้ยงเป็นนางบำเรอ ไม่พอใจก็ทำร้ายทุบตี หลังขออิสรภาพแยกทาง กลับวางแผนอุ้มขึ้นรถมัดมือ ใช้สก๊อตเทปปิดปาก ใช้มือปิดตา สั่งให้ลูกน้องชายยศ “ร.อ.” ขับรถพาไปที่โรงแรมม่านรูด ให้ลูกน้องชายยศ “ร.อ.” ที่ขับให้จับถอดกางเกง ก่อนที่ตนเองจะข่มขืนและถ่ายคลิป หลังเสร็จข่มขู่”ถ้ามึงแจ้งความ มึงตายแน่” เดินทางไปที่สน.บางพลัด เข้าพบ พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7 พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร ผกก.สน.บางพลัด เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม

ร.ท.หญิง กล่าวว่า ตอนปี 63 ตนยังเป็นนักศึกษาชั้นปี 4 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ครอบครัวฐานะยากจน ตนต้องเลี้ยงดูย่า ต้องทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ช่วงกลางวันและตอนเย็นจะไปรับจ้างยืนแจกขนมตามสถานีรถไฟฟ้าและห้างสรรพสินค้า วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ จะทำงานร้านอาหารและได้พบกับ “พล.ท.” ที่มาทานอาหารกับกลุ่มเพื่อน หนูไปทำหน้าที่แนะนำเครื่องดื่มที่เพิ่งออกใหม่ วันนั้น พล.ท. ให้ทิปหนูถึง 10,000 บาท ตนตกใจและดีใจมากเพราะว่าเป็นช่วงที่ต้องจ่ายค่าเทอมพอดีคิดว่า พล.ท. เป็นผู้ใหญ่ใจดีที่เมตตาเด็ก
หลังจากนั้นเขาให้ลูกน้องมาขอไลน์หนู วันต่อมาเขาไลน์มาชวนหนูไปทานข้าวกับเพื่อนเขาหลายคน หลังจากนั้นเขาก็ได้ไลน์ติดต่อให้ตนไปทานข้าวด้วย 2 ต่อ 2 และซื้อรถเก๋งให้หนู 1 คัน ราคา 2 แสนกว่าบาท จากนั้นมีความสัมพันธ์กัน เวลาสังสรรค์กับเพื่อนเขาในกรมทหารจะให้หนูไปคอยชงเหล้า รับใช้ คอยสั่งการชีวิตหนูทุกอย่าง และหึงหวง ไม่ให้ออกไปไหน ไม่ให้คุยกับผู้ชายหรือแม้กระทั่งเพื่อนที่เป็น LGBTQ+
ร.ท.หญิง กล่าวอีกว่า ตลอดเวลาตนเหมือนนางบำเรอและทาสรับใช้ เวลาอยู่กับเขาต้องทำทุกอย่างคอยเอาใจ ทำความสะอาดห้อง ซักผ้า รีดผ้า ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจจะถูกทุบตี จะคอยบังคับให้หนูอยู่ในกรอบ ถ้าจะไปไหนต้องบอกตลอดเวลา ถ้าเขาแชทไลน์มาแล้วไม่อ่านหรืออ่านช้า หรือโทรมาไม่รับสายจะถูกด่าว่า “มึงเป็นใคร ทำไมไม่รับสายกู” และเมื่อเจอหน้าจะตบตีทำร้าย

ตนเคยถูกทำร้ายหลายครั้งจนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว ครั้งแรก วันที่ 22 ธ.ค. 67 ตนไปเที่ยวกับเพื่อนเขาโทรมาหาแต่ตนไม่ได้รับสาย พอกลับมาถึงห้องที่แฟลตทหาร เขาตามมาไขกุญแจเข้ามาทำร้ายเตะ ต่อย ระบมช้ำไปทั้งตัว หลังจากนั้นเขามาพูดดีด้วยสัญญาจะไม่ทำร้ายอีก และซื้อคอนโดฯ ให้ 1 ห้อง เพื่อเป็นการปลอบใจ แต่เขาผิดคำพูด เวลาไม่พอใจยังทำร้ายทุบตีเหมือนเดิม ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา หนูต้องทนทุกข์ หนูทนไม่ไหวขอแยกทางไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยตั้งแต่กลางปี 68 แต่เขายังไม่ยอมปล่อยตามคุกคามหนูเรื่อยมาทั้งจะพังประตูห้อง เอากุญแจมาคล้องประตู หยอดกาวกุญแจประตู และหยอดกาวประตูรถ และจะแชทไลน์มาหาอยู่บ่อยครั้ง
ช่วงเดือน ต.ค.68 ตนถูกทำร้าย เป็นครั้งที่ 2 สาเหตุเพราะเขาแชทไลน์มาและตนไม่ได้คุยอย่างต่อเนื่อง ตอบช้าเพราะกำลังทำงานอยู่ เขาก็รีบมาหาที่แฟลตและกระทืบตนจนช้ำระบมไปทั้งตัว หลังจากนั้นตนขอเลิกเขาอีกครั้ง โดยมีรองเจ้ากรมทหาร เป็นพยาน เขาบอกว่าถ้าตนโอนคืนคอนโดฯ ให้เขาแล้วจะเลิกยุ่งกับหนู หนูได้ไปโอนคืนให้เขาไปหมดแล้ว แต่เขายังตามคุกคามอยู่เรื่อยมา เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.68 เขามาพังประตูห้อง ตนแจ้งตำรวจสน.เตาปูนมาระงับเหตุ เขาโกรธมากที่ทำให้เขาอับอายจึงเตะตนเข้าที่ขาอย่างแรงต่อหน้าตำรวจ และกระชากกล้องตำรวจพร้อมด่าทอข่มขู่ “มึงอยากไปอยู่วังทวีมั้ย” และยังกร่างอ้างรู้จักตำรวจใหญ่ หลังจากนั้นตนก็ได้ไปแจ้งความเรื่องที่เขามาคุกคามไว้ที่สน.เตาปูน
ครั้งที่ 3 วันที่ 21 ธ.ค.68 เขาโทรมาหาตนแล้วบอกว่าหย่ากับเมียแล้วจะไปอยู่ต่างประเทศ ขอเจอตนเป็นครั้งสุดท้ายโดยนัดพบที่ร้านอาหารย่านบางพลัด หนูใจอ่อนและตั้งใจเอาพวงมาลัยไปไหว้ขอขมาจึงเดินทางไปที่ร้านอาหารพร้อมกับน้องสาว ขณะอยู่ที่ร้านอาหารเขาได้ชวนดื่มไวน์ หนูกับน้องดื่มไวน์ไป 2 แก้ว รู้สึกเมาผิดปกติ แล้วเขาก็เอาน้ำที่ก้นแก้วมีสีขาวขุ่นมาให้ดื่มบอกว่าเป็นน้ำวิตามิน เมื่อตนและน้องสาวดื่มเข้าไปรู้สึกมึนงง เวลาประมาณ 2 ทุ่ม เขาบอกว่ามีของขวัญจะให้หนูให้เดินไปเอาที่ท้ายรถ เป็นรถ SUV เมื่อเปิดประตูท้ายรถขึ้นเขาผลักหนูเข้าไปในรถและเขาก็ขึ้นมาในรถชกต่อยหนูจับกดลงกับพื้นไม่ให้ตนเงยหน้าขึ้นมา ใช้สายรัดเคเบิ้ลไทร์มัดมือหนูทั้ง 2 ข้าง และใช้สก๊อตเทปปิดปากไม่ให้ร้อง ระหว่างนั้นเห็นชายสวมหมวก “ไอ้โม่ง” มาขับรถให้เขาก่อนจะพาหนูออกไป ตนถูกจับกดและปิดตาอยู่จึงไม่เห็นทางว่ารถวิ่งไปทางไหน
เมื่อไปถึงโรงแรมม่านรูดแห่งหนึ่งเขาจะลากตนลงจากรถ แต่ตนส่งเสียงกรีดร้องจนพนักงานต้อนรับกลัวว่าจะมีปัญหาจึงไม่ยอมเปิดห้องให้ จากนั้นเขาพาหนูขึ้นรถจับกดลงกับพื้นอีกครั้งและพาไปที่โรงแรมม่านรูดอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก ตนถูกลากลงจากรถและเข้าไปในห้องโรงแรมม่านรูดจึงรู้ว่า “ไอ้โม่ง” ที่ขับรถให้เขาคือ นายทหารยศ “ร.อ.” ที่เป็นลูกน้องของเขา ตนพยายามดื้นรนขัดขืนแต่ถูกเขา 2 คนลากไปที่เตียงนอน
แต่ขณะนั้น ร.อ. ยกมือไหว้ “นายครับอย่าทำน้องเลยครับ” พล.ท.บอกว่า มึงอย่ามายุ่ง แล้วสั่งให้ “ร.อ.” ถอดกางเกงหนูแล้วก็ยืนดู จากนั้น “พล.ท.” ชกต่อยใบหน้าและลำตัวระบายความโกรธด่าหนูว่า “มึงแจ้งความใช่มั้ย” ก่อนจะลงมือข่มขืนหนูทั้งที่มัดมืออยู่สำเร็จความใคร่ และถ่ายคลิป ตนเจ็บปวดสุดแสนสาหัส จากนั้นเขาถึงตัดสายรัดที่ข้อมือออก 1 เส้น แต่ยังมีสายรัดอีก 1 เส้นค้างอยู่ที่ข้อมือตน “พล.ท.” ยังข่มขู่หนูอีกว่า “ถ้ามึงแจ้งความ มึงตายแน่”
ร.ท.หญิง เผยต่ออีกว่า หลังก่อเหตุเสร็จ พล.ท. และร.อ. ขับรถมาส่งที่ร้านอาหารเดิม น้องสาวเห็นสภาพตนสะบักสะบอม ตนขอให้ “ร.อ.” ช่วยตัดสายรัดเคเบิ้ลไทร์ที่ค้างอยู่ที่ข้อมืออีกข้างหนึ่งออก ก่อนที่ตนและน้องจะรีบขึ้นรถตัวเองแล้วขับออกจากร้านเพื่อไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากรู้สึกเจ็บที่ซี่โครงอย่างมาก โดยน้องสาวบอกว่า หลังจากที่ตนออกไปกับ พล.ท. มีผู้หญิง 2 คนมานั่งคุยด้วยตีสนิทแล้วบอกว่ารู้จัก พล.ท. ตนมาคิดกับน้องคาดว่า พล.ท. มีการวางแผนมาอย่างดี นัดให้ตนมาเพื่อพาไปทำร้าย-ข่มขืน และให้หญิงสาวทั้ง 2 คนมานั่งกับน้องเพื่อเป็นการถ่วงเวลาไม่ให้ตามหาหนู
คืนนั้นหลังหาหมอเสร็จตนได้รีบไปแจ้งความที่สน.บางพลัด ทันที ตำรวจส่งไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล เมื่อเขารู้ไปแจ้งความเขาได้โอนเงินมาให้น้องตน 3 หมื่นบาท บอกเป็นค่ารักษาตน และโอนมาให้อีก 5 หมื่นบาท บอกให้เป็นค่าใช้จ่ายที่จะต้องนอนโรงพยาบาล แต่ตนไม่ต้องการจึงได้โอนเงินคืนไปหมดแล้ว และต้องการเรียกร้องความเป็นธรรม ขอชีวิตตนคืน วันที่ 23 ธ.ค.68 จึงมาร้องขอให้มูลนิธิปวีณาฯ ช่วยเหลือ ตนต้องการจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ด้าน น.ส.ปวีณา กล่าวว่าหลังรับเรื่องตน ประสาน พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. นำผู้เสียหาย เดินทางไปที่สน.บางพลัด เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการไล่ภาพเส้นทางวันเกิดเหตุ และอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามความคืบหน้าคดีนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป
ภายหลังนางปวีณา พา “ร.ท.หญิง” เดินทางมาถึง สน.บางพลัด ได้เข้าร่วมประชุมกับ พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7 พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร สน.บางพลัด ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สอบปากคำ “ร.ท.หญิง”
นางปวีณา กล่าวเพิ่มเติมภายหลังใช้เวลาประชุมกว่า 1 ชม. ว่า วันนี้ได้ประสาน พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7 พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร สน.บางพลัด เพื่อพาผู้เสียหายมาพบเพื่อให้ปากคำเพิ่มเติม คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อุกอาจ ขอให้ตำรวจดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายต้องเคารพสิทธิ์ความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายตำรวจต้องให้ความเป็นธรรมอยู่แล้ว โดยมูลนิธิปวีณาฯ จะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดและประสานกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เข้ามาดูแลน้อง ร่วมกับมูลนิธิปวีณาฯ และประสานกระทรวงยุติธรรม ช่วยคุ้มครองพยานหากมีการข่มขู่คุกคามผู้เสียหาย
พล.ต.ต.พัลลภ แอร่มหล้า รอง ผบช.น. กล่าวว่า พล.ต.ท.สยาม บุญสม ผบช.น. มอบหมายให้ตนมาดำเนินการในคดีนี้ หลังรับเรื่องได้สั่งการให้มีการสอบสวนรวมรวม พยานหลักฐานและวัตถุพยานดำเนินการให้เร็วที่สุด ขอยืนยันว่าจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายตำรวจทำไปทำพยานหลักฐาน หากใครมีส่วนเกี่ยวข้อง กระทำความผิดจะโดนแจ้งข้อกล่าวหาหมดทุกคน
“แม้ผู้ถูกกล่าวหากระทำความผิดในอดีตจะมียศใหญ่โตในราชการ ร่วมทั้งผู้เกี่ยวข้อง ถ้ามีหลักฐานกระทำผิดจริงต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย”
ด้าน พล.ต.ต.ชัยยะ เพ็ชรปัญญา ผบก.น.7 สั่งกำชับ พ.ต.อ.อัครพล จั่นเพชร สน.บางพลัด และพนักงานสอบสวนให้ทำงานเต็มที่ ทั้งเรื่องพยานหลักฐานและวัตถุพยาน ทำครบทุกกระบวนการและจะให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย ตอนนี้รวบรวมพยานหลักฐานได้พอสมควรแล้ว ยังเหลือพิสูจน์ทราบคำให้การของผู้เสียหาย

