“ไร่เตียวิเศษ” อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เป็นหนึ่งในกรณีศึกษา ที่สะท้อนเศรษฐศาสตร์ธุรกิจเกษตรอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการพลิกโฉมฟาร์มไก่ไข่ และแปลงผักเข้าสู่ระบบเกษตรอินทรีย์ ภายใต้แนวคิด Zero Waste และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างยั่งยืน ทำให้ไร่แห่งนี้ได้รับรางวัลมาตรฐานการท่องเที่ยว STG Star ระดับ 4 ดาว ประจำปี 2567 จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อันสอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร เพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน อีกหนึ่งนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

จากการติดตามและศึกษาต้นแบบความสำเร็จ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี (สศท.8) พบว่า ไร่เตียวิเศษก่อตั้งปี 2553 บนพื้นที่ครอบครัว 3 ไร่ ดำเนินงานโดย นางสาวดวงเด่น เตียวิเศษ โดยพัฒนาเป็นเกษตรผสมผสาน มีไก่ไข่ 500 ตัว (โรงเรือน 186 ตารางเมตร) และแปลงผัก 1 ไร่ รวมถึงไม้ผลหลากชนิด ปรับเปลี่ยนสู่เกษตรอินทรีย์ตั้งแต่ปี 2554 และได้รับมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ปี 2560 พร้อมเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร และศูนย์เรียนรู้สำหรับชุมชน
โมเดลไร่เตียวิเศษถือเป็นตัวอย่างการออกแบบธุรกิจ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภค หรือการผลิตที่ยึดความต้องการของตลาดเป็นหลัก (Demand-oriented) ใน 2 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ (1) ผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าอาหารคุณภาพ และมีเรื่องราว/ความเชื่อมั่น โดยฟาร์มสร้างจุดเด่น “ไข่ไก่อารมณ์ดี” คุณภาพสูงจากการเลี้ยงแบบธรรมชาติ และ (2) กลุ่มผู้บริโภคที่ให้คุณค่ากับประสบการณ์และการเรียนรู้ โดยฟาร์มต่อยอดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตรและเวิร์กช็อป โดยมีผู้เยี่ยมชมกว่า 500 คนต่อปีและมีอัตราค่าบริการชัดเจน

ด้านการบริหารการผลิต และความคุ้มค่าจากการผลิตที่หลากหลาย (Economies of Scope) ไร่เตียวิเศษเริ่มจากการบริหารปัจจัยการผลิตในระดับครัวเรือนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยผสานกิจกรรมไก่ไข่-ผัก-ปลา-ไม้ผล-บริการท่องเที่ยวให้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน (น้ำ ปุ๋ย วัตถุดิบ พลังงาน และแรงงาน) โมเดลนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากการขยายขนาดการผลิต (Scale) เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการเพิ่มประสิทธิภาพและการลดต้นทุนเฉลี่ยของทั้งระบบ ซึ่งเป็นลักษณะความคุ้มค่าจากความหลากหลายที่เหมาะกับเกษตรกรรายย่อยในพื้นที่ท่องเที่ยว
ด้านการยกระดับผลิตภาพการผลิต (Productivity) และลดต้นทุน ฟาร์มบริหารจัดการอาหารไก่โดยใช้วัตถุดิบจากฟาร์มถึงร้อยละ 80 (เช่น หยวกกล้วย เศษพืชผล และน้ำหมักชีวภาพ) ร่วมกับอาหารสำเร็จรูปร้อยละ 20 ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ทดแทนปุ๋ยเคมี นำน้ำจากสระเลี้ยงปลามาใช้รดแปลงผัก ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ และนำวัสดุเหลือใช้กลับมาหมุนเวียนใช้ซ้ำ รวมถึงใช้แรงงานในครัวเรือน กลไกดังกล่าวทำให้ฟาร์มลดค่าใช้จ่ายรวมจาก 720,000 บาท เหลือ 462,200 บาท ลดลงร้อยละ 36 ในปี 2568 สะท้อนให้เห็นถึงความคุ้มค่าของการใช้ทรัพยากรภายในฟาร์ม ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และช่วยลดความเสี่ยงจากราคาปัจจัยการผลิตภายนอกที่มักมีความผันผวน

ด้านความคุ้มค่าและผลตอบแทน พบว่า ฟาร์มผลิตไข่เฉลี่ยปีละ 73,000 ฟอง จำหน่ายฟองละ 10 บาท สร้างรายได้หลัก 730,000 บาทต่อปี และต่อยอดรายได้จากกิจกรรมท่องเที่ยวเชิงเกษตร (ค่าทัวร์ 100 บาท/คน และเวิร์กช็อป 3,200 บาท/กลุ่ม 4 คน) รวมถึงรายได้จากผลผลิตอื่นๆ เช่น ผักสด ปลา และกล้าพันธุ์ผักพร้อมกระถางกว่า 500,000 บาทต่อปี ส่งผลให้มีรายได้รวม 1,280,000 บาทต่อปี และมีกำไรสุทธิ 560,000 บาทต่อปี
ทั้งนี้ การมีรายได้จากหลายช่องทาง ช่วยให้มีเงินหมุนเวียนเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และมั่นคง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาผลผลิตเพียงอย่างเดียว ทำให้ธุรกิจเกษตรอยู่รอดได้ แม้ในยามที่ต้นทุนผันผวนหรือตลาดชะลอตัว นอกจากนี้ ในด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรฐาน การใช้หลักการ Zero Waste เพื่อหมุนเวียนทรัพยากรกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยังส่งผลให้ต้นทุนลดลง และเพิ่มความน่าเชื่อถือของสินค้าและบริการ สอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในระดับพื้นที่ โดยการมีมาตรฐานรับรอง อาทิ เกษตรอินทรีย์ หรือมาตรฐานท่องเที่ยวยั่งยืน ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยการันตีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ลดความเสี่ยงทางการตลาด และช่วยให้การขยายผลโมเดลความสำเร็จสู่พื้นที่อื่นๆ เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำเร็จของโมเดลนี้ มาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงทางธุรกิจอย่างรอบด้านใน 4 มิติสำคัญ ได้แก่ (1) ความเสี่ยงด้านแผนธุรกิจ (Strategic Risk) ลดการพึ่งพารายได้ทางเดียวด้วยการกระจายรายได้ทั้งจากผลผลิตและบริการ (2) ความเสี่ยงด้านการผลิต (Operational Risk) ควบคุมต้นทุนหลักด้วยการใช้วัตถุดิบในฟาร์มร้อยละ 80 และพลังงานทดแทน ลดความผันผวนของต้นทุน (3) ความเสี่ยงด้านการเงิน (Financial Risk) เพิ่มเสถียรภาพรายได้และสร้างภูมิคุ้มกันจากความผันผวนของราคาผลผลิต และ (4) ความเสี่ยงด้านมาตรฐานและกฎเกณฑ์ (Compliance Risk) รักษามาตรฐานเกษตรอินทรีย์และมาตรฐานท่องเที่ยวยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง เพื่อคงความเชื่อมั่นและสร้างมูลค่าเพิ่ม

