หน้าแรกบทความความต่างบังคับใช้กฎหมายระหว่างนักการเมืองกับชาวบ้าน โค่นต้นไม้จัดเต็ม-ยึดที่รถไฟเสพสุข       

ความต่างบังคับใช้กฎหมายระหว่างนักการเมืองกับชาวบ้าน โค่นต้นไม้จัดเต็ม-ยึดที่รถไฟเสพสุข       

ห้วงเวลานี้สงครามไทยกับกัมพูชากับการเปิดตัวแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและ สส. เพื่อลงชิงชัยในสนามเลือกตั้ง ได้ยึดพื้นที่ข่าวของสื่อทุกสำนัก รวมถึงสื่อโซเซียล กลบข่าวความเดือดร้อนที่ประชาชนกำลังเผชิญอยู่ไม่ว่าจะข่าวน้ำท่วม ข่าวสินค้าเกษตรตกต่ำ ข่าวสินค้าอุปโภคบริโภคพาเหรดกันขึ้นราคาและข่าวภัยอาชญากรรมที่คุกคามชาวบ้านเกือบทุกพื้นที่               

แต่ข่าวหนึ่งที่สื่อกระแสหลักไม่ค่อยให้ความสำคัญ แต่ถ้าผู้อ่านมีโอกาสได้อ่านจะรู้สึกได้ถึงมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายระหว่างชาวบ้านระดับรากหญ้ากับนักการเมืองใหญ่ที่กุมอำนาจ ว่าแตกต่างันราวฟ้ากับเหว             

เนื้อหาข่าวระบุว่านายถนอม อายุ 68 ปี ตัดหน่อสัก 1 ต้น เพราะมั่นใจว่าอยู่ในพื้นที่ของตนเองที่ได้รับการรับรองให้ทำกินตั้งแต่ปี 2506 พื้นที่ บ้านทุ่งฮี ต.วังทายคำ อ.วังเหนือ จ.ลำปาง ถูกผู้นำหมู่บ้านและกรรมการหมู่บ้าน ปรับ 5,000 บาท ระบุว่าตัดต้นไม้ใน น.ส.ล.( หนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง) แต่ตรวจสอบพบว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่ น.ส.ล.ต้องคืนเงิน         

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าจับกุมและส่งฟ้องศาล ศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี ให้รอลงอาญา ปรับ 1 แสนบาท เนื่องจากครอบครัวยากจนไม่มีเงินค่าปรับ ศาลจึงให้ทำกิจกรรมบริการสังคม 400 ชั่วโมงแทนค่าปรับ        

ต่อมามีการร้องเรียนไปมาระหว่างครอบครัวของนายถนอม กับผู้ใหญ่บ้าน  จนร้องเรียนให้เจ้าหน้าที่ป่าไม้ดำเนินคดีข้อหาครอบครองและแผ้วถางพื้นที่ป่า คดีอยู่ในชั้นอัยการ         ล่าสุด วันที่ 18 ธันวาคมที่ผ่านม นายทศพล จักรบุญมา นายอำเภอวังเหนือ เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ลป.9(ขุนวัง) อดีตผู้ใหญ่บ้าน ครอบครัวนายถนอม และคณะกรรมการหมู่บ้านทุ่งฮี ร่วมประชุมเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงและต้นตกของปัญหา เพื่อหาทางออกร่วมกัน        

ในที่ประชุมนายทศพล ให้ครอบครัวนายถนอมเล่าถึงปัญหา สรุปได้ 4 ประเด็น คือ 1.การถูกปรับค่าตัดต้นไม้ 5,000 บาท ศาลสั่งคืนเพราะไม่มีอำนาจ 2.ถูกกลั่นแกล้งถูกปลดจาก อสม. 3.ลูกต้องย้ายโรงเรียนเพราะถูกบูลลี่ที่ตัดไม้แล้วถูกปรับ และประเด็นที่ 4 ถูกฟ้อง      

ใน 3 ประเด็นทั้งสองฝ่ายชี้แจงข้อเท็จจริง จนมีบทสรุปที่ดี ส่วนประเด็นที่ถูกฟ้องร้องจะหาช่องในการช่วยเหลือต่อไป แต่มีรายละเอียดหนึ่งที่น่าสนใจประเด็นร้องเรียนว่า นำรั้วมากั้นทางสาธารณอยู่ในเขตป่าสงวนนั้น แม้นายถนอมยืนยันว่าเป็นพื้นที่ที่ครอบครัวทำกินมาพร้อมกันและไม่ได้มีการแผ้วถางเพิ่ม แต่ดูตาเปล่ากับวัดพิกัด จะไม่เหมือนกัน เมื่อตรวจสอบแผนที่ย้อนหลังพบว่าเป็นทางสาธารณะไม่สามารถออกเอกสารรับรองให้ได้ จึงมีการดำเนินคดีตามกฎหมาย อยู่ในกระบวนการยุติธรรม จะไม่ก้าวล่วง  ซึ่งประเด็นนี้ครอบครัวนายถนอมยอมรับหากมีการตัดพื้นที่ออกตามหลักเกณฑ์ แต่ที่ผ่านมาไม่ได้รับความกระจ่างในเรื่องเหล่านี้ และคิดมาตลอดว่าพื้นที่รุ่นตายายบุกเบิกมาจะครอบคลุมทั้งหมด  

ทางนายอำเภอวังเหนือสอบถามนายถนอมเรื่องยอมรับเรื่องตัดพื้นที่ออกหรือไม่ ครอบครัวนายถนอมยอมรับให้ดำเนินตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้   

ถ้าพิจารณาตามเนื้อหาถึงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และกฎหมาย พบว่าชาวบ้านธรรดมาทั่วไปจะยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด พื้นที่ไหนที่ระบุว่าเป็นของหลวงหรือที่สาธารณะยินยอมที่จะให้ตัดพื้นที่ออก ตามคำชี้แนะของเจ้าหน้าที่รัฐ   

จึงอดที่จะมาเปรียบเทียบกับคดีเขากระโดง ของ การรถไฟแห่งประเทศไทย จ.บุรีรัมย์  ถูกบุกรุกนำไปออกเป็นโฉนดที่ดินกว่า 5 พันไร่  แม้ศาลฎีกาจะพิพากษาแล้วว่าเป็นพื้นที่ของการรถไฟฯหรือเรียกภาษาชาวบ้านว่าที่ดินหลวง     

แต่ขั้นตอนดำเนินการหลังคำพิพากษา ดูเหมือนจะไม่ขยับอะไรเลยทั้งที่ผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินการล้วนมีสติปัญญาที่ดี เพราะสามารถก้าวสู่ตำแหน่งอธิบดีได้ย่อมจะมีสมองที่ไม่ธรรมดาและคงไม่มีหัวไว้แค่หูแน่นอน แต่กลับวางเฉยเสมือนคำพิพากษาศาลฎีกาไร้ความขลัง    

ยิ่งเฉยหนักเมื่อมีนายกรัฐมนตรีชื่อนายอนุทิน ชาญวีรกุล ทั้งที่ก่อนที่นายอนุทิน จะก้าวสู่ตำแหน่งนายยกรัฐมนตรี การทวงคืนพื้นที่เขากระโดง เต็มไปด้วยความคึกคัก แต่ ณ เวลานี้เงียบยิ่งกว่าเป่าสาก    

ถ้าถามหาจิตสำนึกระหว่างครอบครัวนายถนอม เป็นชาวบ้านธรรมดายอมให้ตัดพื้นที่บุกรุกคืน กับทุกครอบครองที่ยึดเขากระโดง มีทั้งความรู้ มีทั้งอิทธิพลและอำนาจคับบ้านคับเมือง ใครมีจิตสำนึกที่สูงกว่ากัน เชื่อว่าคนทั้งประเทศคงมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าใครมีจิตใจที่สูงส่งกว่ากัน   

ดังนั้นในช่วงเลือกตั้งคงจะได้ยินบรรดานักการเมืองเกือบทุกพรรค ประกาศว่าประชาชนทุกคนมีความเสมอกันทางกฎหมาย ถ้าได้เป็นรัฐบาลแล้วจะไม่มีการเลือกปฏิบัติอย่างแน่นอน    ประชาชนได้ยินได้ยินได้ฟังวาทะดังกล่าวขอให้จดจำไว้หรือบันทึกเสียงเก็บไว้ เมื่อพวกนักการเมืองกลุ่มได้เป็นรัฐบาลแล้ววางเฉยกับคดีรุกเขากระโดง ต้องช่วยกันแชร์วาทะดังกล่าวพร้อมแคปชั่นว่าพวกนักการเมืองโคตรตอแหลและปลิ้นปล้อน ซึ่งประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเราคงทำได้เท่านี้จริง ๆ   

ครั้นจะไปไล่บี้ให้รัฐบาลยึดที่เขากระโดงคืนหลวง เป็นได้แค่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ เพราะแม้แต่นายอนุทิน ยังมีชื่ออาศัยอยู่ในบ้านที่สร้างอยู่บนพื้นที่เขากระโดง แล้วใครหน้าไหนจะกล้าฮือ !!! 

 

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img