กลุ่มตัวแทน​ สว.สำรองบุกอัยการสูงสุด จี้สอบ “ฮั้วเลือก สว.67” ทั้งขบวนการ

71

กลุ่มตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาสำรอง ยื่นหนังสืออัยการสูงสุด ขอให้ตรวจสอบคดีฮั้วเลือก สว. ปี 67 อย่างรอบด้าน ชี้พฤติการณ์เข้าข่ายขบวนการใหญ่เกี่ยวพันหลายกลุ่ม หลายระดับ ไม่ควรจำกัดการดำเนินคดีเพียงบางราย เตือนหากสอบสวนไม่ครบถ้วน กระทบสิทธิ สว.สำรอง ความสุจริตของการเลือก สว. และศรัทธาประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม

วันนี้ (22 ธ.ค.) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนรัชดาภิเษก นายธนวัตน์ ศรีสุข พร้อมด้วย นายสาโรจน์ สุวรรณวงศ์ และ น.ส.ณภัทร โชติพฤกษ์ชูกุล ในนามคณะตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาสำรอง เข้ายื่นหนังสือต่ออัยการสูงสุด เพื่อขอให้ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมอย่างครบถ้วน รอบด้าน และเป็นไปตามหน้าที่ตามกฎหมาย ในคดีพิเศษที่ 24/2568 กรณีมีพฤติการณ์ทุจริตและสมคบกันกระทำความผิดในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เมื่อปี พ.ศ.2567

นายธนวัตน์ เปิดเผยว่า การยื่นหนังสือครั้งนี้มีถึงอัยการสูงสุดและอธิบดีอัยการคดีพิเศษ โดยภายหลังจากนี้จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ทั้ง 7 คน รวมถึงเลขาธิการ กกต. และจะไปยื่นต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ด้วย เพื่อให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาคดีดังกล่าวอย่างรอบคอบ

นายธนวัตน์ ระบุว่า คณะตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาสำรองได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อดีเอสไอ ในฐานะผู้กล่าวหาและผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง เนื่องจากเป็นสมาชิกวุฒิสภาสำรองตามรัฐธรรมนูญ หากมีการดำเนินคดีไม่ครบถ้วน รอบด้าน หรือจำกัดการดำเนินคดีเฉพาะผู้ต้องหาบางส่วน จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิ ความชอบธรรม และสถานะของสมาชิกวุฒิสภาสำรอง รวมถึงความสุจริตและความน่าเชื่อถือของกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภาโดยรวม

ทั้งนี้ จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามรายงานข่าว การประชุม และข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชน พบว่า คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีแนวทางสรุปสำนวนเสนอฟ้องผู้ต้องหาชุดแรกจำนวน 8 ราย โดยมุ่งเน้นข้อหาร่วมกันฟอกเงินเป็นหลัก ทั้งที่จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในสำนวน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการกระทำมิได้เป็นการกระทำเฉพาะรายบุคคล แต่มีลักษณะเป็นขบวนการ เกี่ยวพันกับบุคคลหลายกลุ่ม หลายระดับ ตั้งแต่ผู้จัดการระบบ ผู้ประสานงาน ตัวกลางทางการเงิน ผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภา ไปจนถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอีกเป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ ยังปรากฏว่ามีพยานหลักฐานสำคัญหลายประเด็นที่อยู่ระหว่างการรวบรวม วิเคราะห์ และสอบสวนเพิ่มเติม อาทิ การตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างครบถ้วน การสอบสวนบทบาทของบุคคลที่เกี่ยวข้องในลักษณะขบวนการ การตรวจสอบพยานทางเทคนิคและพยานนิติวิทยาศาสตร์ รวมถึงการขยายผลไปถึงผู้เกี่ยวข้องรายอื่นที่อาจมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด โดยหากมีการจำกัดการดำเนินคดีหรือแยกสำนวนเพื่อสรุปเฉพาะผู้ต้องหาบางส่วน ทั้งที่พยานหลักฐานยังไม่ครบถ้วน อาจไม่สอดคล้องกับหน้าที่ตามกฎหมายของพนักงานสอบสวนในการแสวงหาข้อเท็จจริงทั้งที่เป็นคุณและเป็นโทษแก่ทุกฝ่าย และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อกระบวนการยุติธรรมและประโยชน์สาธารณะ

คณะตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาสำรองจึงขอให้อัยการสูงสุดและพนักงานอัยการที่เกี่ยวข้อง พิจารณาสำนวนคดีดังกล่าวด้วยความรอบคอบ โดยมีข้อเสนอให้ดำเนินการ 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ เรียกตรวจสอบคำให้การของพยานทุกปาก รวมถึงพยานที่ยังไม่ได้สอบสวน เพื่อตรวจสอบบทบาทและแจ้งข้อกล่าวหาให้ครบถ้วน นำคำให้การและสำนวนคดีทุจริตเลือกสมาชิกวุฒิสภาที่ กกต. ดำเนินการสอบสวนและไต่สวนไว้ มาเป็นพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา สั่งสอบสวนบุคคลที่มีบทบาทสำคัญ อดีตและปัจจุบันกรรมการ กกต. รวมถึงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และนำพยานหลักฐานทางการเงินจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มาประกอบสำนวน พร้อมสอบสวนผู้ช่วยสมาชิกวุฒิสภาและบุคคลที่เกี่ยวข้องในประเด็นธุรกรรมทางการเงินทั้งหมด

พร้อมกันนี้ คณะตัวแทนสมาชิกวุฒิสภาสำรองระบุว่า หากมีการสรุปสำนวนหรือมีความเห็นทางคดีในคดีพิเศษที่ 24/2568 โดยมิได้สอบสวนให้ครบถ้วนรอบด้านตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ขอสงวนสิทธิ์ในการดำเนินการตามกฎหมายต่อเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกระดับ โดยไม่ถือเป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต

นายธนวัตน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กฎหมายถูกบัญญัติขึ้นเพื่อให้คนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก และต้องใช้กับทุกคนอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่ใช้ได้เฉพาะกับคนจนหรือคนรากหญ้า แต่ผู้มีเงินหรือมีอำนาจกลับอยู่เหนือกฎหมาย พร้อมตั้งคำถามว่า หากประชาชนไม่สามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้ จะให้ไปพึ่งใคร พร้อมย้ำว่าประชาชนคนไทยกำลังเฝ้ารอคำตอบจากกระบวนการยุติธรรมของประเทศ