“ชยิกา” ชี้ นโยบายเศรษฐกิจ “เพื่อไทย” คือทางรอด ใช้การทูตเทคโนโลยี เน้นเปิดตลาดใหม่-ดึงทุนใหม่ มุ่ง ศก.สีเขียว ยัน “แลนด์บริดจ์” ช่วยพลิกบทบาทไทยให้เป็นศูนย์กลาง

264

กรุงเทพฯ, วันที่ 14 ธ.ค. – นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ คณะทำงานด้านนโยบายต่างประเทศพรรคเพื่อไทยและอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เข้าร่วมเวทีสัมมนา “การเมืองไทยจะนำพาประเทศไปทางไหน ในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป” ที่สมาคมสื่อมวลชนนานาชาติประเทศไทย และสำนักข่าว IMCT NEWS จัดขึ้น โดยได้กล่าวถึงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย เพื่อเปลี่ยนความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของโลก ให้กลายเป็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุนใหม่ และเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว เพื่อให้ไทยเป็นฐานการผลิตที่ยืดหยุ่นและมีเสถียรภาพในปี 2026

นางสาวชยิกายืนยันว่า นโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศของพรรคเพื่อไทย เป็นนโยบายทางรอด ไม่ใช่ทางเลือก เพราะที่ผ่านมาทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย ได้วิเคราะห์ว่า ทำไม GDP ไทยเราจึงโตต่ำกว่าอดีต โตต่ำกว่าศักยภาพ และโตต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งที่ศักยภาพน่าโตได้ถึง 5% ดังนั้น ประเทศไทย จะต้องกล้าปรับตัว และกล้าลงมือ เพื่อให้ทันกับโอกาสที่กำลังเปิดขึ้นรอบตัวเรา โดยจะต้องดึงการลงทุนรอบใหม่ โดยเฉพาะจากกลุ่มที่กำลังมองหาฐานการผลิตใหม่ ที่เข้าสหรัฐฯ ได้โดยไม่โดนภาษี หรือภาษีต่ำกว่า เพื่อสร้าง “Local Partner Requirement” ให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างงาน และยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศอย่างแท้จริง

รวมถึงการใช้ Tech Diplomacy หรือ การทูตเทคโนโลยี เพื่อต่อยอด และดึงดูด ยกระดับให้ประเทศไทย เข้าไปอยู่ใน Global Supply Chain ของสินค้าไฮเทค หรือสินค้าที่มีมูลค่าสูง สร้างให้ไทยมีบทบาทและอำนาจต่อรองใน “Tech War” ทั้ง Semiconductor, AI, Aerospace, อุตสาหกรรมแบตเตอรี่ EV, อุตสาหกรรมยุทโธปกรณ์, AgriTech และอุตสาหกรรมอาหาร รวมถึงการเปลี่ยน Global Supply Chain เปิดตลาดใหม่ให้สินค้าไทย เช่น ในตะวันออกกลาง เอเชียใต้ แอฟริกา และยุโรปตะวันออก รวมทั้งเร่งทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศที่มี Demand สูง เช่น ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอารับเอมิเรต และอินเดีย เพื่อให้สินค้าเกษตร อาหารแปรรูป และอุตสาหกรรมไทยเข้าไปแข่งขันได้โดยไม่ติดกำแพงภาษี

นางสาวชยิกา ยังยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมแ ละภาคประชาชนมีทางเลือกในการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ที่ตัวเองผลิตในตอนกลางวัน และพลังงานจากภาครัฐในตอนกลางคืน ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวอย่างของการลดต้นทุนค่าไฟของประชาชนให้ถูกลง ดึงเม็ดเงินลงทุนดิจิทัลจากทั่วโลก และลดคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมยกระดับมาตรฐานการผลิตของไทยด้วยมาตรฐาน Green และมาตรฐานสากลใหม่ เพื่อลดการกีดกันการค้า และเร่งพัฒนาภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตรให้เป็น “Low-Carbon Producer” เพื่อให้สินค้าไทยขายได้ในตลาดพรีเมียมและอยู่รอดในตลาดโลกระยะยาว

นางสาวชยิกา ยังย้ำว่า เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในโลกใหม่ได้ ต้องคิดแบบผู้ชนะในเกมใหม่ ไม่ใช่ติดอยู่กับกติกาเดิม ดังนั้น นโยบายเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย จึงต้องเน้น เปิดตลาดใหม่ ดึงการลงทุนรอบใหม่ สร้างมาตรฐานใหม่ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้จริงในเวทีโลก และสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างยั่งยืน

นางสาวชยิกา กล่าวถึงจุดยืน และยุทธศาสตร์ของเพื่อไทยในการเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS+ และการใช้กลไก BRICS ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ว่า ที่ผ่านมา รัฐบาลพรรคเพื่อไทย เห็นความผันผวนในภูมิรัฐศาสตร์โลกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า จึงได้สมัครเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS+ เพื่อเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เพราะถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพ มีผู้ผลิต และผู้ซื้อจำนวนมาก จะเป็นพลังขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในกลุ่ม Global South จนไทยได้สถานะ Partner Country กับ BRICS+ ซึ่งนับเป็นโอกาสเชิงการตลาดที่ต้องถูกใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการดึงดูดการค้าการลงทุน และการท่องเที่ยว

ตัวอย่างที่รัฐบาลเพื่อไทยได้ส่งเสริมให้มีการลงทุน เช่น อุตสาหกรรม EV ที่เจ้าตลาดในการผลิตรถยนต์ EV ได้เข้ามาเปิดตลาดและตั้งฐานการผลิตในไทย ตั้งแต่ BYD, CHERY, GWM – Great Wall Motor, NETA (จีน), CHANGAN  และ MG โดยที่ผ่านมา รัฐบาลเพื่อไทยก็ยังได้เตรียมกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ด้านอุตสาหกรรม จากรถสันดาปเป็นรถ EV ให้กับประเทศอื่นๆ อีกด้วย ด้านสินค้าเกษตรนั้น อินเดียซึ่งเป็นสมาชิก BRICS+ และประเทศไทย ต่างก็เป็นผู้ส่งออกหลักของสินค้าอาหาร ดังนั้น ถ้า OPEC คือ อำนาจด้านพลังงาน ไทยกับอินเดีย ก็สามารถร่วมกันสร้างอำนาจต่อรองด้านอาหารได้ โดยอาจจะเริ่มจากข้าว น้ำตาล และโปรตีน ภายใต้กรอบ BRICS เพื่อเสถียรภาพอาหารของกลุ่มประเทศโลกใต้ได้

ส่วนจะมีพรรคเพื่อไทย จะมี “กุศโลบายทางการทูต” และ “กลไกการถ่วงดุลอำนาจ” เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นกลางทางยุทธศาสตร์ สร้างภูมิคุ้มกันความมั่นคง และปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติจากความขัดแย้งที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2026 ได้อย่างไรนั้น นางสาวชยิกา เห็นว่า เบื้องหลังการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรง ระหว่างจีนและสหรัฐฯ แท้จริงคือ การแข่งขันเพื่อควบคุมโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จะต้องรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ และกระจายอำนาจความเสี่ยงกับทุกขั้วอำนาจ ปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของไทยในแต่ละประเด็นอย่าง “ยืดหยุ่น” และ “ปฏิบัติได้จริง” ผ่านการแสวงหาความร่วมมือใหม่ ๆ ที่เป็นรูปธรรม

เช่น กับสหรัฐฯ ไทยควรมุ่งเน้นความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ความมั่นคง และหุ้นส่วนในบริบทภูมิภาค ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยเจรจาภาษีสหรัฐ 19% แบบ win-win มาแล้ว สำหรับจีน ไทยต้องกล้าที่จะยกประเด็นที่กระทบต่อผลประโยชน์ของไทยโดยตรงมากขึ้น รวมถึงยังจะต้องเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจขนาดรอง และมหาอำนาจในภูมิภาคอื่นอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลีย และสหภาพยุโรป พร้อมขับเคลื่อนการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์กับประเทศเพื่อนบ้าน เปลี่ยนแนวคิดความขัดแย้ง เป็นความร่วมมือ อย่างกรณีที่รัฐบาลเพื่อไทย เคยเปลี่ยนความขัดแย้งมาเป็นความร่วมมือผ่านการพูดคุยกับเมียนมา ผลักดันให้เมียนมายอมรับความถูกต้อง และกฎระเบียบ มาตรฐานที่โลกยอมรับ ส่งเสริมเกิดการสร้างโต๊ะเจรจาระหว่างทุกฝ่ายอย่างสันติ

นางสาวชยิกา กล่าวว่า การแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์ในประเด็นความมั่นคงทางอาหาร สาธารณสุข และการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างมียุทธศาสตร์ โดยเป็นสาขาที่เป็นประโยชน์ต่อไทย เช่น Financial Hub, Med Tech, Data Center Hub, Landbridge, ASEAN Grid เป็นต้น โดยเห็นว่า Landbridge เป็นกลไกในทางภูมิเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญ หากสำเร็จจะเป็น “พลังอำนาจต่อรองใหม่ของไทย” ที่สามารถพลิกบทบาทของไทยในเอเชียได้เพราะ “ช่องแคบมะละกา” ถูกใช้งานเกินความสามารถไปแล้ว ทำให้ใช้เวลารอ และต้นทุนสูงขึ้นเรื่อย ๆ Landbridge จะทำให้ไทยกลายเป็นประเทศศูนย์กลาง เพิ่มรายได้ในห่วงโซ่อุปทานของคนไทย ให้นโยบายภูมิเศรษฐศาสตร์ แปลงเป็นรายได้ให้กับคนไทยได้จริง