หน้าแรกสุขภาพ-สิ่งแวดล้อมGISTDA เผยข้อเท็จจริงจากดาวเทียมฝุ่น PM2.5 ไม่ได้มาจากการเผาอย่างเดียว

GISTDA เผยข้อเท็จจริงจากดาวเทียมฝุ่น PM2.5 ไม่ได้มาจากการเผาอย่างเดียว

ปัญหาฝุ่น PM2.5 กลายเป็นปัญหาซ้ำซากของสังคมไทย ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง ส่วนใหญ่โฟกัสต้นตอของปัญหามาที่เกษตรกร โดยต้นตอมาจากการเผาตอซัง ซึ่งสังคมส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น สมาคมสื่อมวลชนเกษตรแห่งประเทศไทย จึงร่วมกับพันธมิตร จัดสัมมนา “ฝุ่น PM2.5 ภาคเกษตรสร้างปัญหาจริงหรือ? ระดมสมองแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน” ณ อาคาร UNISERV มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นางสาววรนุช จันทร์สุริย์ นักภูมิสารสนเทศชำนาญการ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) – GISTDA เปิดเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดาวเทียมในการรับมือกับปัญหามลพิษฝุ่น PM2.5 ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้เป็นปัญหาในระดับพื้นดิน เนื่องจากข้อมูลจากดาวเทียม ได้เผยให้เห็นข้อเท็จจริงว่าฝุ่นละอองไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในอากาศที่เราหายใจ แต่ลอยตัวซ้อนกันอยู่เป็นชั้น ๆ ในชั้นบรรยากาศ มีกลไกธรรมชาติที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาว คือความกดอากาศสูงจะทำหน้าที่เหมือนฝาชีขนาดยักษ์ กดทับชั้นของฝุ่นละอองเหล่านี้ให้ต่ำลงมาใกล้พื้นดิน ทำให้เราได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และยังพบว่านอกจากฝุ่น PM2.5 แล้ว ยังมีมลพิษอื่น ๆ เช่น ไนโตรเจนไดออกไซด์ ที่การกระจายตัวในแนวดิ่งในระดับความสูงต่าง ๆ ไปจนถึง 2 กม.จากพื้นดินด้วย

นางสาววรนุช ยังให้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกว่า การอ่านค่าของ Hotspot หรือ “จุดความร้อน” ที่ตรวจจับอุณหภูมิที่สูงผิดปกติได้ โดยอาศัยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่มีความแม่นยำถึง 99% ที่จะพบว่าจุดนั้นเป็นไฟจริง ๆ แต่คำว่า “ไฟ” ในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึงไฟป่า หรือการเผาทางการเกษตรเสมอไป เนื่องจากแหล่งกำเนิดความร้อนที่ดาวเทียมตรวจจับได้นั้น อาจมาจากสิ่งอื่น ที่ไม่ได้เกิดจากการเผาไหม้แต่มีความร้อนได้ อาทิ หลังคาสังกะสี ที่สะสมความร้อนจนมีอุณหภูมิสูงจัดในตอนกลางวัน ลานหินกว้างๆ ในช่วงฤดูร้อนที่อมความร้อนไว้มหาศาล โรงโม่ปูนที่มีการปล่อยไอร้อนออกมาจากกระบวนการผลิต หรือแผงโซลาร์เซลล์ขนาดใหญ่ จากโซลาร์ฟาร์ม เป็นต้น

“ปัจจุบันบ้านเรามีดาวเทียมสำรวจทรัพยากรของตัวเอง ที่มีความสามารถสูงมาก คือดาวเทียม THEOS-2 (ธีออส 2) ที่สามารถถ่ายภาพที่มีความละเอียดสูงถึง 50 ซม. ซึ่งตอนนี้ไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชีย ที่มีดาวเทียมความละเอียดสูงระดับนี้ และจากภาพถ่ายจากดาวเทียมเราพบว่า มีจุดความร้อนกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้เห็นความจริงที่ชัดเจนว่า ประเทศไทยไม่ใช่ผู้ก่อปัญหาฝุ่น PM2.5 เพียงฝ่ายเดียว ในประเทศเพื่อนบ้านต่างก็มีกิจกรรม ที่ก่อให้เกิดจุดความร้อนจำนวนมากเช่นกัน เพราะดาวเทียมเห็นทุกอย่าง ทั้งมลพิษและดาวเทียมนั้นไม่มีพรมแดน มุมมองจากอวกาศจึงสะท้อนความจริงให้เห็นว่า เราทุกคนต่างมีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหานี้ และการแก้ไขปัญหาจะต้องทำร่วมกัน ซึ่งมุมมองที่ไร้พรมแดนนี้ จะช่วยเปลี่ยนแนวคิดจากการกล่าวโทษกันไปมา สู่การส่งเสริมความร่วมมือระดับภูมิภาค เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษข้ามแดน ซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของเราทุกคน”

ปัจจุบันเทคโนโลยีการตรวจจับจุดความร้อน มีการพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด สามารถตรวจจับแหล่งความร้อนในพื้นที่ ที่เล็กลงเหลือเพียงประมาณ 80 ไร่ได้ และยังมีความถี่ ในการตรวจจับมากขึ้นด้วย ซึ่ง GISTDA ได้มีการใช้เครือข่ายดาวเทียมพันธมิตรกว่า 26 ดวง ทำให้สามารถกลับมาถ่ายภาพซ้ำ ในพื้นที่เดิมและอัปเดตข้อมูล Hotspot ได้ถี่ถึง 10 ครั้งต่อวัน ด้วยเทคโนโลยีนี้ จึงสามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่ “ชี้เป้า” พื้นที่ที่ต้องเข้าไปบริหารจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรทั้งกำลังคน และเครื่องมือในการป้องกัน และรับมือกับเหตุการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้นักวิเคราะห์แยกแยะระหว่าง Hotspot ที่เกิดจากไฟจริงๆ กับจุดความร้อนถาวรที่ไม่ใช่การเผาไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

“ข้อมูลจากดาวเทียมได้มอบมุมมองระดับมหภาคที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจปัญหา PM2.5 และมันช่วยให้เราเห็นว่าปัญหาไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิด แต่มีความซับซ้อนทั้งในมิติของความสูงจากพื้นดินและในมิติของความเชื่อมโยงระดับภูมิภาค ซึ่งประเทศไทยก็มีเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง THEOS-2 และเครือข่ายดาวเทียมที่ฉลาดขึ้นทุกวันเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้ ในเมื่อวันนี้เรามีดวงตาบนอวกาศที่ช่วยให้เราเห็นภาพรวมของปัญหาได้ชัดเจนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คำถามสำคัญคือ เราที่อยู่บนพื้นดินจะเปลี่ยนการกระทำของเราเพื่อรับมือกับความจริงนี้ได้อย่างไร” นางสาววรนุช จันทร์สุริย์ นักภูมิสารสนเทศชำนาญการ GISTDA กล่าวทิ้งท้าย

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img