“ไตรรงค์” ซัดกลับ”รองโจ๊ก”ปมบัญชีม้า ย้ำตำรวจพร้อมตรวจสอบ แต่ต้องไม่บิดเบือนข้อเท็จจริง​ รับกังวลแจง​กมธ.มีไลฟ์สด​หวั่นกระทบกระบวนการยุติธรรม!!

244

รองจเรตำรวจแห่งชาติ​ ออกโรงโต้หนัก หลังอดีตรอง ผบ.ตร. กล่าวหาตำรวจใช้ “บัญชีม้า” เป็นเรื่องปกติ ย้ำบัญชีม้าคือหัวใจอาชญากรรมคอลเซ็นเตอร์–เว็บพนัน ตอกย้ำประชาชนให้เชื่อข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานไม่ใช่เพียงคำกล่าวอ้างด้านเดียว

วันนี้ (19 พ.ย. 68) เวลา 10.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รองจเรตำรวจแห่งชาติ แถลงชี้แจงอย่างละเอียด หลัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ออกมากล่าวหาว่ามีการใช้ “บัญชีม้า” เป็นเรื่องปกติในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ไตรรงค์ กล่าวว่า บัญชีม้าเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมข้ามชาติ เป็นช่องทางสำคัญของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การพนันออนไลน์ และการฟอกเงิน ซึ่งตำรวจทุกคนรู้ดีว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย การใช้บัญชีม้าไม่ใช่เรื่องปกติ หากพบว่าใครทั้งผู้เปิดหรือผู้ใช้ จะต้องถูกดำเนินคดีทันที

และ “พ่อบ้าน” ของอดีตรอง ผบ.ตร. มีการใช้บัญชีม้าหลายบัญชีเพื่อรับเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันและเงินที่ไม่ทราบแหล่งที่มาเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ผู้กล่าวหาเองควรเข้าใจดี เพราะเคยบริหารงานในตำแหน่งสูงสุดแห่งหนึ่งของวงการตำรวจ การนำประเด็นบัญชีม้ามากล่าวหาตำรวจ จึงกลับมาสะท้อนถึงตัวผู้กล่าวหาเอง

จึงอยากขอให้ประชาชนหยุดคิดและพิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน เพราะผู้ที่ออกมากล่าวหาเป็นบุคคลที่ถูกตั้งกรรมการสอบสวน ถูกไล่ออกจากราชการ และยังมีสถานะเป็นผู้ต้องหาในคดีฟอกเงินจากเว็บพนัน ซึ่งขณะนี้อยู่ในกระบวนการยุติธรรม เขาขอให้ประชาชนสื่อมวลชนชั่งน้ำหนักระหว่างข้อกล่าวหาระดับคำพูด กับข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานรองรับในสำนวน

เมื่อถูกถามถึงกรณีมีการร้องศาลจากลูกน้องของอดีตรอง ผบ.ตร. ที่ถูกจับกุม พล.ต.ท.ไตรรงค์ ระบุว่า ศาลได้ตัดสิน “ยกคำร้อง” เป็นที่ยุติแล้ว แต่ผู้กล่าวหาไม่ได้นำข้อมูลนี้มาเปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้เกิดภาพเพียงด้านเดียว เขาย้อนถามว่าเหตุใดผู้กล่าวหายังยึดติดกับเรื่องที่ศาลวินิจฉัยและเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ใช่ความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจอย่างที่บางฝ่ายพยายามชี้นำ แต่เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายกับผู้ต้องหา ซึ่งย่อมมีความไม่พอใจต่อกันเพราะเป็นคู่กรณีในคดีอาญา ผู้ต้องหามีสิทธิให้การเพื่อปกป้องตนเองในชั้นสอบสวน แต่การนำข้อมูลไปพูดผ่านสื่อในลักษณะกดดันหรือชี้นำสาธารณะย่อมต้องรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้น

ในส่วนของการไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า หนังสือเชิญจาก กมธ. เดิมเป็นการเชิญ ผบ.ตร. แต่ได้รับมอบหมายให้ไปแทน และเมื่อไปถึงพบว่ารูปแบบการถามตอบมีประเด็นที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะการถ่ายทอดสด การเปิดพื้นที่ให้ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ต้องหา รวมถึงการนำพยานในคดีเดียวกันมาเผชิญหน้ากับตำรวจแบบเปิดเผย ซึ่งลักษณะนี้ควรเกิดในศาล ไม่ใช่ในเวทีรัฐสภา เพราะอาจกระทบต่อพยาน พนักงานสอบสวน และทิศทางของคดีโดยตรง ยอมรับว่ารู้สึกกังวล เพราะรูปแบบดังกล่าวหากผิดทิศทางอาจเกิดผลเสียต่อกระบวนการยุติธรรม และอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพลักษณะ “สงครามข้อมูลข่าวสาร” เพื่อให้สังคมเชื่อไปในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งเป็นอันตรายต่อข้อเท็จจริงในคดีที่ยังดำเนินอยู่

สำหรับการประชุม กมธ. รอบถัดไปซึ่งมีการส่งคำถามลักษณะเดิม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องประเมินอย่างรอบคอบ หากเห็นว่ารูปแบบการชี้แจงไม่ปลอดภัยต่อสำนวนคดี หรือเปิดช่องให้ผู้ต้องหาสร้างความได้เปรียบในเวทีสาธารณะ อาจต้องเสนอต่อ กมธ. และรัฐสภาเพื่อหารือก่อน ขอย้ำว่าตนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความเคารพต่อ กมธ. และต่อระบอบประชาธิปไตย แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายในภาพรวมด้วย

และไม่ได้รู้สึกกลัวต่อการชี้แจงใดๆ หากกลัวคงไม่ไปตอบในวันนั้น และยืนยันว่าไม่ได้ถูก “เชือด” อย่างที่บางคนกล่าว เพราะหากวันนั้นไม่มีผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติไปตอบ อาจทำให้เกิดความเสียหายมากกว่า และถูกมองว่าเพิกเฉยต่อการตรวจสอบ เขาย้ำว่าหน้าที่คือการรักษากฎหมาย และต้องป้องกันไม่ให้กระบวนการยุติธรรมเสียหายจากข้อมูลที่ถูกบิดเบือนหรือถูกใช้ในทางไม่เหมาะสม