วันที่ 3 พ.ย. 68 นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม เปิดเผยว่า ในปลายสัปดาห์ก่อน ตนได้เข้าร่วมเวทีเสวนา The Blunt Truth ที่จัดโดย เครือข่ายภาคประชาสังคมช่วยเหลือผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ ที่สมาคมผู้สื่อข่าวระหว่างประเทศ FCCT เสียดายที่ต้องเข้าออนไลน์ไม่ได้ไปร่วมเอง เพราะอยู่ระหว่างเดินทางไปมาเลเซีย เข้าร่วมประชุม APHR
นายกัณวีร์ ระบุว่า ในเวทีวันนั้นมีนักข่าวจากฟิลิปปินส์ มีท่านทูต Lindsay Kiptine อดีตทูตเคนยาในไทย ที่เคยทำงานร่วมกันในการช่วยเหลือชาวเคนยาจากเมืองสแกมในเมียวดีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงคุนเจสัน ทาวเวอร์ พี่ติ ชลิดา ทาเจริญศักดิ์ และคุณเจ กฤติญา เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ยังทำงานต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือเหยื่อการค้ามนุษย์

“ในเวทีวันนั้นเราได้เห็นความจริงที่ไม่อาจถูกปิดยังได้อีกแล้วว่าไทยกลายเป็นทางผ่านของอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ท่านทูตเคนยาบอกว่า เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ Crimes against humanity ซึ่งจริงอย่างที่ผมเคยย้ำมาตลอดว่า ประเทศไทยปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ ที่เครือข่ายสแกมเมอร์ใช้ชื่อประเทศไทย หลอกลวงและดึงดูดให้คนต่างชาติอ้างว่ามาทำงานในไทย แต่แล้วก็ถูกนำพาไปเป็นสแกมเมอร์ในเมียวดี”
นายกัณวีร์ กล่าวว่า ถ้าจำกันได้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ ที่ตนประสานช่วยชาวต่างชาติจากกว่า 32 ประเทศ 233 กว่าคนจากบ้านช่องแคบ พื้นที่ DKBA ส่งกลับมาไทย แล้วเข้าสู่กลไก NRM และต่อมามีการช่วยเหลือชาวต่างชาติอีกเกือบ 10,000 คนในพื้นที่ BGF ด้วย ในจำนวนนั้นครึ่งหนึ่งเป็นคนจีน และจีนส่งเครื่องบินเหมาลำมารับกลับไป อีกกว่า ครึ่งเป็นชาวต่างชาติ ที่รวม ๆ แล้วนับชาติก็มีไม่ต่ำกว่า 77 ประเทศ
“กว่าครึ่งโลกนะครับ ที่ถูกนำมากองรวมที่เมืองเมียวดี แล้วถามว่าพวกเขามาได้ยังไง ก็มาลงเครื่องบินที่สุวรรณภูมิ แล้วนั่งรถมาที่แม่สอด อย่างที่นักข่าวฟิลิปปินส์มาแฉเส้นทางนั่นแหละครับ ทั่วโลกที่คนเขาถูกหลอกเขารู้ดีว่า คนทั้งหมดจะถูกนำพามาที่ไทยก่อน แล้วกระจายไปยังเมียวดี ประเทศเมียนมาบ้าง กัมพูชา บ้าง สามเหลี่ยมทองคำที่ สปป.ลาว บ้าง”

นายกัณวีร์ ระบุว่า ตนได้กล่าวในเวทีเสวนาว่า อย่างที่คุณเห็นว่า อาชญากรข้ามชาติ เหล่านี้ พวกเขากำลังมองหาโอกาสสำหรับ ศูนย์หลอกลวง (Scam Center) และ สำหรับ คอลเซ็นเตอร์ออนไลน์ ที่จะใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่การเมืองอ่อนแอ
“พวกเขารู้ว่าในเมียนมา อย่างที่ผมได้ยินจากคุณเจสัน และประเด็นของ KK Park หรือ กองกำลังพิทักษ์ชายแดน (BGF) ที่แก๊งค์สแกมเมอร์เข้ามาใช้ประโยชน์ นี่คือปัญหาของพวกเขา (อาชญากร) มองหาโอกาสในเมียนมา พวกเขาเห็น รัฐที่ล้มเหลว (failed state) พวกเขาสามารถแทรกซึมเข้าสู่การเมืองที่อ่อนแอ และจากนั้นพวกเขาก็สามารถ จัดตั้งธุรกิจของตนเองที่นั่นได้”
ส่วน ประเทศไทย ได้เป็น ศูนย์กลางของการลักลอบนำคนเข้าเมืองและการค้ามนุษย์ ประเทศไทยเป็นประเทศที่สามารถรับคนเข้ามาได้ และเนื่องจากพวกเขามีนโยบายที่สอดคล้องกับโอกาสสำหรับอาชญากรรมข้ามชาตินี้ ซึ่งหมายถึง ฟรีวีซ่าสำหรับ 140 ประเทศ พวกเขาสามารถเข้ามาในประเทศไทยได้อย่างอิสระ
“นี่คือ โอกาส ที่อาชญากรเหล่านี้มองเห็น และพวกเขาพาคน เคลื่อนย้ายผู้คน ให้เข้ามาในประเทศไทย จากนั้นพวกเขาก็ แจกจ่าย (distribute) และพวกเขาเรียกมันว่า การแจกจ่ายมนุษย์ (Human Distribution) ดังนั้น จึงแจกจ่ายมนุษย์เพื่อไปทำงานเป็นแรงงานของธุรกิจสีดำนี้ของ แก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง ในประเทศเพื่อนบ้านของไทย ทั้ง เมียนมา กัมพูชา และลาว”
นายกัณวีร์ ย้ำว่า ทุกอย่างมันเหมือนกับเป็น จิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ทั้งชุด ที่เมื่ออาชญากรมองหาโอกาสในแต่ละประเทศ ในเมียนมาคือ ความอ่อนแอ เป็นรัฐที่ล้มเหลว ในไทยคือ นโยบายที่อ่อนแอ ในกัมพูชา (พวกเขา) บอกว่าธุรกิจนี้สามารถ ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ของกัมพูชา ได้ และพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เปิดอยู่
“นี่เป็นเรื่องที่ยากมาก สำหรับผมในฐานะ สมาชิกสภานิติบัญญัติ จากประเทศไทย ผมคิดว่าเราควรจะ ร่วมมือกัน เหมือนกับว่า รัฐบาลไทยควรจะร่วมมือกับรัฐบาลอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะยกประเด็น นี้ และนำการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ นี้มาเป็น วาระระดับภูมิภาคดังนั้นเราได้ทำไปแล้วเมื่อครั้งที่แล้ว”
นายกัณวีร์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า สัปดาห์ที่แล้ว เราไปที่ IPU (Inter-Parliamentary Union – สหภาพรัฐสภา) และเราก็ได้ยกประเด็นนี้ เราได้รับ มติในวาระฉุกเฉิน (resolution on emergency item) ให้ปราบปราม อาชญากรรมไซเบอร์ ดังนั้นนี่เป็นความพยายามอีกครั้งสำหรับเราที่จะยกประเด็นนี้ให้เป็น วาระระดับโลก
“ผมคิดว่าในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติ เราต้อง เข้มงวดมากขึ้น ในการมองปัญหาด้วย แนวทางแบบองค์รวม (holistic approach) เราไม่ควรจะมองเพียงแค่เรื่อง การลักลอบนำคนเข้าเมือง การค้ามนุษย์ หรือ การปราบปรามอาชญากรรม ตามแนวชายแดนนี้เท่านั้น เราควรจะ ต่อจิ๊กซอว์หรือภาพทั้งหมดเข้าด้วยกันให้เป็นภาพใหญ่ และเรื่องนี้เราสามารถร่วมมือกับผู้อื่นได้ สำหรับตัวผมเอง ผมจะไม่หยุด ผมจะทำงานต่อไปในปฏิบัติการเช่นนี้เพื่อทำงานร่วมกันในการจัดการกับอาชญากรรมข้ามชาติ เหล่านี้ โปรดมั่นใจได้เลยครับ” นายกัณวีร์ กล่าวย้ำ

