จากกรณีที่อัยการ จ.ภูเก็ต สั่งไม่ฟ้องมาเฟียจีนฉายา “ตู้ห่าวกับเมียหนูนา ” หลานสาวอดีตบิ๊กตำรวจจ้างวานลอบวางเพลิงและรุมทำร้ายพนักงานรักษาความปลอดภัย สถานที่ท่องเที่ยวสวนงูภูเก็ต ขณะปฎิบัติงานปางตายจนพิการตลอดชีวิต และคดีถูกดองมากว่า 5 ปี กระทั่งตำรวจกองปราบฯรวบรวมหลักฐานจับมือเพลิงพร้อมพวกได้สารภาพและซัดทอด ชัด”สารวัตรหนูนา”ขับรถเบนซ์พาชี้เป้าทุบยามก่อนเผาสวนงูวอด ด้านสภ.ฉลอง ใช้เวลาอีก 3 เดือนรวบรวมพยานหลักฐานจนมั่นใจ ส่งฟ้องอัยการ แต่ชั่วข้ามคืนเดียวกลับสั่งไม่ฟ้องจนลือหึ่งทั่วเกาะว่าเงินสะพัด 30 ล้าน เล่นเอาตำรวจเจ้าของคดีอึ้งกิมกี่ เดือดร้อนผู้บัญชาการภาค 8 ตั้งกรรมการ 20 คน ตรวจสำนวนหนา 500 กว่าหน้า ใช้เวลาเดือนกว่ายังไม่คืบข้องใจอัยการเก่งเกินคนคืนเดียวปิดจ๊อบสั่งไม่ฟ้อง!
คดีนี้ยังไม่ปิด เพราะหลังจากที่นางยุพิน ไชยทองงาม มารดาของนายอนุชิต ไชยทองงาม รปภ.หนุ่มผู้ที่บัดนี้พิการ ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึงนายกรัฐมนตรี สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กระทั่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งเลขที่ 0105.03/50472 ลงวันที่ 20 ธันวาคม 2560 ส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ติดตามการรื้อฟื้นคดีของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 โดยระบุว่า มีคนร้ายร่วมกันบุกรุก เข้าไปก่อเหตุวางเพลิงเผาทรัพย์สิน สำนักงานของบริษัทภูเก็ตเฮลตี้ นูทรีเม้น จำกัด (สวนงูภูเก็ต) ในเวลากลางคืนจนเกิดเพลิงไหม้ได้รับความเสียหาย คนร้ายยังได้ร่วมกันทำร้าย พยายามฆ่า นายอนุชิต จนได้รับบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นพิการ เป็นคดีอุกฉกรรจ์ร้ายแรง เกิดกลางใจเมืองภูเก็ต ขอให้พนักงานสอบสวนพิจารณาทำการสอบสวนเพิ่มเติมในคดีความผิดฐานร่วมกันจ้างวานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 61 ช่วงบ่าย พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นทรวง ผบช.ภ 8 ให้สัมภาษณ์รายการวิทยุชื่อดัง “สืบจากข่าว” คลื่น 100.5 อสมท.โดยนายสุวิทย์ บุตรพริ้ง ดีเจดัง ผู้ดำรงความยุติธรรมคนหนึ่ง เป็นผู้สัมภาษณ์ พอสรุปความว่า คดีนี้เป็นที่สนใจของสื่อมวลชน เมื่ออัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องก็ไม่ขอก้าวล่วงดุลพินิจของท่าน คดีนี้รู้ๆกันว่ามีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร คงไม่จบกันง่ายๆแม้ผลสรุปออกมาว่าตำรวจเห็นพ้องตามอัยการ ผู้เสียหายก็ยังมีสิทธิ์ที่จะไปฟ้องร้องเองได้ แต่อย่างไรก็ดี พล.ต.ท.สรศักดิ์ กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 20 คนเพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดและรัดกุมที่สุด แต่เนื่องจากคดีเกิดขึ้นนานมาแล้วสำนวนคดีที่ตำรวจท้องที่ติดตามพยานหลักฐานสำคัญๆมีความหนากว่า 500 หน้าคงต้องขอเวลาตรวจสอบกันสักระยะซึ่งยังไม่สามารถบอกได้ว่าผลสรุปจะออกมาเป็นอย่างไร
ผู้บัญชาการภาค 8 กล่าวต่อไปว่า ขอให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่ 20 คนที่ตั้งขึ้นจะระดมกำลังกันเพื่อคดีนี้ใครที่คิดจะมาซิกแซกวิ่งเต้นก็ลองดูมันไม่ง่าย สำหรับตนก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว ส่วนกรรมการทั้ง 20ท่านก็ต้องปล่อยให้ท่านทำหน้าที่เสนาธิการใช้ดุลยพินิจไป โดยมีรองผู้บัญชาการเป็นหัวหน้าคณะกรรมการใครจะมาวิ่งเต้นกดันกันมันไม่ง่ายบอกไว้ตรงนี้ได้เลย และขอให้ผู้เสียหายมั่นใจได้ว่าจะได้รับความเป็นธรรมแน่นอน ไม่ว่าผลสรุปออกมาจะเป็นเช่นไร ก็คือกระบวนการทางกฏหมายต้องยอมรับกันเราก็พยายามทำให้ดีที่สุด
ส่วนที่ว่าอัยการสรุปสั่งไม่ฟ้องเร็วไปอันนี้เป็นเรื่องของดุลพินิจของอัยการ ก็คือมุมมองทางกฎหมายแล้วแต่มุมมองใครเราไม่ก้าวล่วงดุลพินิจของท่าน “ผมพอจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังมาบ้าง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ผมถึงสบายใจ พูดง่ายๆว่าปล่อยให้กรรมการทุกท่านใช้ดุลพินิจอย่างสบายใจ เพราะว่าทุกฝ่ายให้ความสนใจมีสื่อมวลชนติดตามอย่างใกล้ชิดงานนี้บอกได้ว่าเรายกภาค 8 มาเลย การพิจารณาใช้ดุลพินิจต้องให้เกิดความชัดเจน ตอบคำถามได้ทุกข้อสรุปง่ายๆก็คือ ผู้บัญชาการยืนอยู่ตรงกลางแน่นอนไม่มีอะไรที่จะทำให้เอนเอียงได้ ถ้ากรรมการเห็นต่างก็ถึงอัยการสูงสุดกฎหมายมีทางไป ถ้าเราเห็นต่างคดีก็เป็นไปตามกระบวนการแต่ผมจะต้องรู้เรื่อง และต้องตอบ ชาวบ้านได้ว่า ทำไมเห็นอย่างนี้ทำไมคุณไม่เห็นอย่างนี้ ที่สำคัญเรื่องนี้ผ่านมาหลายผู้บัญชาการ เขามีตามกันไหมถามจริงๆ ผมมาใหม่ได้ 3 เดือน ผมทราบดีว่าทุกฝ่ายอยากฟังความเห็นว่ามันจะไปยังไงต่อ “ ผู้บัญชาการภาค 8 กล่าวและว่า อย่างที่บอกคดีนี้เป็นคดีที่ชาวบ้านสนใจ สื่อสนใจ และเป็นเรื่องใหญ่ และเกิดขึ้นที่เมืองใหญ่เมืองท่องเที่ยว มีการร้องเรียนหลายแห่ง ตนเองก็จะยืนให้ดีที่สุด หมายความว่าเกิดขึ้นได้ตนต้องตอบได้ อะไรที่เกิดขึ้นมา ความเห็นจะเป็นอย่างไร ก็แล้วแต่ “แต่ผมต้องตอบได้ในเชิงกฎหมาย” ผู้บัญชาการภาค 8 กล่าวย้ำ
นายตำรวจระดับสูงกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (หนึ่งในกรรมการ20ท่านขอสงวนชื่อ)จ.ภูเก็ต กล่าวถึงคดีนี้ว่า “เราจะถามหาความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายได้ที่ไหน หากผู้ที่ทำหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์และดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรม คดีนี้ผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งตัวพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ตอนนี้พิการตลอดตลอดชีวิต ไม่สามารถทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ และความเสียหายจากเหตุการณ์ถูกลอบวางเพลิงสวนงู เนื่องจากเป็นคู่แข่งธุรกิจของ 2 สามี-ภรรยา ทางเจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานและเอกสารกว่า 500 หน้า สืบสวนสอบสวนค้นหาพยานหลักฐานใหม่อีกกว่า 3 เดือน คณะกรรมการภาค 8 ใช้เวลาเป็นเดือนยังตรวจสำนวนไม่เสร็จ แต่อัยการใช้เวลาเพียงข้ามคืนกลับสั่งไม่ฟ้อง ถือเป็นเรื่องช็อกขบวนการยุติธรรมมาก
“ตำรวจยื่นคดีใหม่เข้าไปในวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน ผ่านวันเสาร์และวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ พอตกวันวันจันทร์ที่ 27 พฤศจิกายน อัยการจังหวัดภูเก็ตมีคำสั่งไม่ฟ้องทันที ทั้งที่คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจน์มีอัตราโทษสูงถึงประหารชีวิต และได้รับความสนใจจากประชาชนโดยเฉพาะชาวภูเก็ต อยากให้สื่อมวลชนทุกแขนงช่วยกันขุดคุ้ยความไม่ชอบมาพากลของคดีนี้ด้วย” นายตำรวจระดับสูงคนนี้กล่าว
ด้านนางยุพิน กล่าวด้วยน้ำตาว่า เสียใจมากๆจริงๆ “พวกเรามันคนจนจะไปมีปัญญาต่อสู้อะไรกับเขา ที่มีทั้งเงินมีทั้งอิทธิพลเป็นถึงหลานตำรวจใหญ่ คิดจะทำร้ายใครมองเห็นชีวิตคนจนเหมือนผักเหมือนปลา ลูกชายพี่เป็นเด็กดีขยันเป็นเสาหลักของครอบครัวตอนกลางวันเป็นช่างเคาะพ่นสี ตกกลางคืนเป็นยามส่งเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ ถูกตีที่หัวจนกระโหลกแตกสลบไป 3 เดือนหมอผ่าเอาเลือดและก้อนสมองที่เสียหายออกไปจนพิการตลอดชีวิต ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2555 ชีวิตวันนี้ลำบากมาก ทุกวันนี้ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องคอยให้กำลังใจลูกอยู่ตลอดเวลา”
แหล่งข่าวระดับสูงในแวดวงยุติธรรมจังหวัดภูเก็ต กล่าวถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ว่า คดีนี้เป็นความมากว่า 5 ปี โดยตำรวจสถานีตำรวจภูธรฉลอง จ.ภูเก็ต ได้รื้อคดีขึ้นมาใหม่ ใช้เวลารวบรวมหลักฐานนานร่วม 3 เดือน เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยบริษัทฯ ที่โดนทำร้ายจนพิการ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ฉลอง ส่งหลักฐานกว่า 507 หน้า แต่อัยการสั่งไม่ฟ้องแค่ข้ามคืน ยืนยันมีความผิดปกติแน่นอน หลังพบเงินสะพัดเพื่อล้มคดีนี้กว่า 30 ล้านบาท ซึ่งตำรวจแสดงความเชื่อมั่นว่าหากมีการพิจารณาสั่งฟ้อง 2 สามีภรรยาดังกล่าว หลักฐานที่มีชี้ชัดดิ้นไม่หลุดแน่นอนว่าเป็นผู้จ้างวาน