สำนักงานตำรวจไซเบอร์ (สอท.) เปิดปฏิบัติการใหญ่ ปิดล้อมตรวจค้น 7 จุดทั่วประเทศ ทลายเครือข่ายบริษัทซื้อขายเงินดิจิทัลเถื่อน “แอ้นท์ เคอร์เรนซี แอคเคาท์” พบเกี่ยวพันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฟอกเงินผ่านคริปโตฯ กว่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน จับผู้ต้องหาได้ 9 ราย พร้อมยึดของกลางจำนวนมาก

วันนี้ (10 ตุลาคม 2568) ที่กองบังคับการสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 2 (บก.สอท.2) พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) แถลงผลการปฏิบัติการทลายเครือข่ายบริษัทคริปโตเถื่อน พร้อมจับกุมผู้ต้องหา 9 ราย ที่มีส่วนพัวพันการฟอกเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีเงินหมุนเวียนสูงกว่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน
ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การสั่งการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. โดยมุ่งเร่งปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน

พล.ต.ท.สุรพล เปิดเผยว่า การสืบสวนเริ่มจากกรณีผู้เสียหายถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง สูญเงินกว่า 3 ล้านบาท โดยเจ้าหน้าที่ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.2 ร่วมกับทีมสืบสวนทุจริตด้านดิจิทัลของธนาคารไทยพาณิชย์ ตรวจพบว่าขบวนการดังกล่าวใช้บัญชีม้าในการถอนเงินที่ได้จากการหลอกลวง ก่อนนำเงินสดไปซื้อเงินสกุลดิจิทัลกับบริษัท แอ้นท์ เคอร์เรนซี แอคเคาท์ จำกัด ซึ่งไม่ได้จดทะเบียนกับสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อปกปิดเส้นทางทางการเงิน
จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวมีเงินหมุนเวียนสูงกว่า 1,000 ล้านบาทต่อเดือน จึงรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหา 11 ราย ในข้อหา
“ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, นำเข้าข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์, ร่วมกันซ่องโจร และร่วมกันฟอกเงิน”
ต่อมา วันที่ 9 ตุลาคม 2568 พล.ต.ต.ศรายุทธ จุณณวัตต์ ผบก.สอท.2 สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติการตรวจค้น 7 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ราชบุรี นครปฐม ฉะเชิงเทรา เชียงใหม่ และชลบุรี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมด 9 คน
ผู้ต้องหาประกอบด้วย นายชินภัทร อายุ 21 ปี (กรรมการบริษัท), น.ส.พัชรนาฎ อายุ 35 ปี (ฟอกเงินเป็นคริปโตฯ), นายณัฐนันท์ อายุ 35 ปี, นายศราวุธ อายุ 31 ปี, นายกฤษฎา อายุ 20 ปี, น.ส.เดือนฉาย อายุ 48 ปี, นายเกียรติบดินทร์ อายุ 50 ปี, นายทรงยศ อายุ 49 ปี และนายทวีศักดิ์ อายุ 43 ปี โดยทั้งหมดทำหน้าที่เปิดบัญชีม้า ถอนเงินสด และตัดตอนเส้นทางการเงินให้กับเครือข่ายของกลางที่ตรวจยึดได้ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง, แท็บเล็ต 1 เครื่อง, สมุดบัญชีธนาคาร 22 เล่ม และบัตรเอทีเอ็ม 5 ใบ

ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามผู้ต้องหาที่เหลืออีก 2 ราย พร้อมขยายผลตรวจสอบเส้นทางการเงินและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำกลับมาคืนให้แก่ผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงต่อไป
ปฏิบัติการครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญของสำนักงานตำรวจไซเบอร์ในการสกัดกั้นขบวนการฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งเป็นรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและเติบโตอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

