ศาลนัดชี้ชะตา “แกนนำ นปช.” คดีชุมนุมขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ – “จตุพร” เตรียมใจยอมรับทุกผลคำพิพากษา

498

ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีแกนนำ นปช. 13 คน ชุมนุมปิดทำเนียบขับไล่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ปี 2552 หลังคดีดำเนินยาวนานกว่า 16 ปี ขณะ “จตุพร พรหมพันธุ์” เผยเตรียมใจมาทุกครั้ง พร้อมยอมรับคำตัดสินไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร

วันนี้ (7 ต.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ที่ห้องพิจารณา 909 ที่ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 7 ต.ค. ศาลนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่2 คดี หมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง  นายวีระกานต์  มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ปธ.นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. และแนวร่วมอื่นๆ เป็นจำเลย 1-13 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค. – 9 เม.ย. 2552 พวกจำเลย ได้ร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยปิดทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญ ๆ หลายแห่งใน กทม. จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว

สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่  22 ส.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก แต่เนื่องจากนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 11 อยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา ส่วนนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่10 มีพฤติการณ์ หลบหนี ศาลสั่งออกหมายจับ ปรับนายประกัน

สำหรับจำเลยทั้ง 13 คนประกอบด้วย 1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์  2.นายจตุพร พรหมพันธุ์  3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ 4.นพ.เหวง โตจิราการ  5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร  6.นายนายณรงศักดิ์ มณี 7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท  8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์  9.นายพายัพ ปั้นเกตุ 10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง  11.นายอดิศร เพียงเกตุ  12.นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต) และ13.นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงชื่อดัง

โดยก่อนอ่านคำพิพากษา นายจตุพร กล่าวว่า ในวันนี้ตนได้เตรียมใจมาแล้วเหมือนกับทุกครั้ง โดยตนไม่มีความวิตกกังวลใด ๆ คดีนี้มีระยะเวลาทั้งหมด 16 เกือบ 17 ปี ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล การต่อสู้คดีก็ได้ทำกันมาอย่างครบถ้วนและดีที่สุดแล้ว ที่ผ่านมาตนไม่ได้พูดคุยกับจำเลยคนอื่นมาก่อนเลย ต่างก็รู้ตามขั้นตอนการต่อสู้คดีอยู่แล้ว และพร้อมที่จะรับในสิ่งนั้น จากการต่อสู้ที่ผ่านมาตนอาจจะมีคดีมากกว่าแกนนำคนอื่น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการขึ้นศาลถือเป็นการเตรียมใจตลอด ถ้าผลลัพธ์เป็นโทษแต่ไม่ได้ประกันตัวก็ต้องยอมรับ หรือถ้าได้รับการประกันตัวก็สู้กันต่อในชั้นอุทธรณ์ 

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนในวันนี้จะสามารถอ่านคำพิพากษาได้หรือไม่นั้นตนยังไม่แน่ใจหลังจากที่ก่อนหน้านี้มีแกนนำ 2 รายไม่มา โดยส่วนของนายอดิศร ติดประชุมสภา ส่วนนายพงษ์พิเชษฐ์ก็ติดต่อไม่ได้ ถ้าเกิดเป็นบุคคลเดิม ศาลจะอ่านคำพิพากษาลับหลัง ส่วนถ้าเป็นแกนนำคนอื่นตนยังไม่ทราบว่าศาลจะมีขั้นตอนอย่างไรต่อไป แต่ทั้งนี้ตนไม่อยากให้คดีนี้ยืดเยื้ออยากให้อ่านคำพิพากษาให้เรียบร้อยไปเลยในวันนี้

เมื่อถามว่าอยากฝากอะไรถึงนายทักษิณ ที่ถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำหรือไม่ นายจตุพร กล่าวว่า คนที่อยู่ในเรือนจำถือเป็นโชคชะตาชีวิตอย่างนึง เหมือนอยู่ในสุสานคนเป็น ต้องอยู่แบบคนตาย อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ แต่ถ้าอยู่แบบคิดว่าเคยเป็นอะไรมา อนาคตจะทำอย่างไร ตัวเองจะเป็นทุกข์เสียเอง ซึ่งตนผ่านตรงจุดนั้นมาแล้วและตนได้แต่แนะนำว่าการปล่อยวางเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ส่วนตัวตนไม่มีเรื่องติดค้างใด ๆ กับนายทักษิณ ต่างคนต่างทำหน้าที่กันไปและไม่มีเรื่องส่วนตัว และยืนยันว่าที่ผ่านมาตนก็ยึดแนวทางนี้มาโดยตลอด ส่วนเรื่องการยื่นขอพระราชทานอภัยโทษของนายทักษิณครั้งที่ 2 นั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทั้งคนปัจจุบันต่างเห็นพ้องต้องกันคือให้ยกฎีกา การยื่นครั้งที่ 2 ในมุมมองตนถือว่าถูกต้องแล้ว และเป็นสิทธิ์ของคนที่อยู่ในเรือนจำที่ต้องการอิสระภาพ ถ้าคนที่ถูกพิพากษาในชั้นต้นก็ต้องสู้ในชั้นอุทธรณ์ ส่วนถ้าคดีถึงที่สุดก็ต้องยื่นถวายฎีกา

ศาลอาญา สั่งจำคุก 5 แกนนำ นปช.ขับไล่รัฐบาลมาร์ค อภิสิทธิ์ ปี52 คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ หมอเหวง อดิศร ส่วนแกนนำอื่นคุกคนละ 4เดือนฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ยกฟ้อง 2คน รอลุ้นประกันตัว !

เวลา 9.45 น.วันที่ 7 ตุลาคม 2568ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาครั้งที่2 คดี หมายเลขดำอ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ปธ.นปช.) พร้อมแกนนำ นปช. และแนวร่วมอื่นๆ เป็นจำเลย 1-13 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 มกราคม – 13 เมษายน2552 พวกจำเลย ได้ร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยปิดทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี (ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากตำแหน่งองคมนตรี รวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการสำคัญ ๆ หลายแห่งใน กทม.


จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัว
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาครั้งแรก แต่เนื่องจากนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 11 อยู่ระหว่างสมัยประชุมสภา ส่วนนายพงศ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่10 มีพฤติการณ์ หลบหนี ศาลสั่งออกหมายจับ ปรับนายประกัน

สำหรับจำเลยทั้ง 13 คนประกอบด้วย
1.นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์
2.นายจตุพร พรหมพันธุ์
3.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
4.นพ.เหวง โตจิราการ
5.นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร
6.นายนายณรงศักดิ์ มณี
7.นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท
8.นายพิพัฒน์ชัย ไพบูลย์
9.นายพายัพ ปั้นเกตุ
10.นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
11.นายอดิศร เพียงเกตุ
12.นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต)และ
13.นายเมธี อมรวุฒิกุล อดีตนักแสดงชื่อดัง

พวกจำเลยให้การปฏิเสธ.ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่าย ที่นำสืบหักล้าง แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มี พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ในฐานะผู้บัญชาการสถานการณ์ และหัวหน้าผู้เจรจา และเจ้าพนักงานตำรวจ ที่ร่วมสืบสวนสอบสวนคดี เบิกความสอดคล้องทำนองเดียวกัน รวมทั้งหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ซึ่งบันทึกภาพเหตุการณ์ต่างฯ ให้เห็นพฤติการณ์ของพวกจำเลย ซึ่งแม้จะเป็นการชุมนุมโดยสันติ ปราศจากอาวุธตามสิทธิ โดยมีจำเลยที่ 1,2,3,4 และ11เป็นแกนนำ และเป็นผู้สั่งการแต่การชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ไม่สร้างความเดือดร้อน และละเมิดสิทธิแก่ประชาชนทั่วไป โดยพวกจำเลยจัดชุมนุมปราศรัยชักชวยให้ประชาชนมาร่วมชุมนุม ปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ ยึดและเผารถโดยสารประจำทาง นับสิบคัน สร้างความเสียหายธนาคารพาณิชย์ หลายแห่ง และร้านสะดวกซื้อ ปิดทางเข้าสถานที่ราชการหลายแห่ง ซึ่งพยานโจทก์ ล้วนเบิกความไปตามจริง ปฏิบัติตามหน้าที่ ไม่รู้จักพวกจำเลยเป็นการส่วนตัว จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความใส่ร้ายปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนพยานหลักฐานจำเลย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้


การกระทำของพวกจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ต่างกัน ให้ลงโทษฐานมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดการวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการมั่วสุมดังกล่าวแล้วไม่เลิก ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา215 วรรคสาม อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

พิพากษาจำคุก นายวีระกานต์ จำเลยที่ 1 นายจตุพร จำเลยที่ 2 นายณัฐวุฒิ จำเลย ที่ 3 นพ.เหวง จำเลยที่ 4 และนายอดิศร จำเลยที่ 11 คนละ

6 ปี และฐานฝ่าฝืน พ.ร.กการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จำคุกคนละ 6 เดือน คำเบิกความของจำเลยทั้งห้า เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาบ้าง ลดโทษให้คนละ 1ใน3 คงจำคุกจำเลยที่ 1,2,3,4 และที่ 11 คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา

ส่วนจำเลยที่ 5,7,8,9 และที่13มีความผิดฐานฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ จำคุกคนละ6 เดือน ลดโทษให้1ใน3คงจำคุก จำเลย5,7,8,9 และที่13คนละ4 เดือน ไม่รอลงอาญา และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6และที่ 10 ต่อมาทนายความได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ ขอปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล