พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ เข้มสุดรอบ 17 ปี ขยายคำนิยามถึงโซเชียล–รีวิวออนไลน์ ตั้งคณะกรรมการระดับชาติ–จังหวัด สร้างโซนปลอดเหล้า แต่ถูกวิจารณ์ขาดความยืดหยุ่น เสี่ยงปิดช่องผู้ค้ารายย่อย ดันตลาดมืดออนไลน์แทน
ทีมวิเคราะห์ข่าว สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ ได้เปิดอ่าน พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2568 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป
กฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่า “เข้มข้นที่สุด” ตั้งแต่มีการออก พ.ร.บ. ปี 2551 โดยตั้งเป้าควบคุมพฤติกรรมการบริโภค ลดอุบัติเหตุ และปกป้องเยาวชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ในโลกยุคออนไลน์ — ขอบเขตของ “การสื่อสาร” และ “การตลาด” กลับซับซ้อนกว่าที่เคย
จุดแข็งของกฎหมาย คือการคุมเข้มครอบคลุมทุกช่องทางเพิ่มนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” ให้รวมถึงโซเชียลมีเดีย การโพสต์ การรีวิว การจัดกิจกรรมลดช่องว่างที่เคยเป็น “พื้นที่สีเทา” ของการโฆษณาออนไลน์ เป็นเพิ่มอำนาจคณะกรรมการระดับพื้นที่จังหวัดและ กทม. สามารถออกกฎเฉพาะพื้นที่ได้ เช่น กำหนดโซนปลอดเหล้า รอบสถานศึกษา วัด หรือสถานที่ราชการ ส่งเสริมการฟื้นฟูผู้มีปัญหาจากการดื่ม มีมาตรการเชิงบำบัดและฟื้นฟู ไม่ใช่แค่ลงโทษ บูรณาการหน่วยงานหลายภาคส่วน
ตั้ง “คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ” โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้ทุกกระทรวงทำงานร่วมกัน จุดอ่อนที่ยังเป็นคำถาม.? กฎหมายไม่ทันพฤติกรรมผู้บริโภคดิจิทัลโลกออนไลน์เปลี่ยนเร็ว การโพสต์รีวิวโดยผู้ใช้ทั่วไปอาจเข้าข่าย “โฆษณาโดยไม่ได้ตั้งใจ”ซึ่งยากต่อการบังคับใช้ และอาจกลายเป็นการปิดกั้นเสรีภาพเกินจำเป็น ซึ่งเป็นผลกระทบผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง ร้านอาหาร–บาร์–ผู้ผลิตท้องถิ่น ขาดทุนช่องทางโปรโมต ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ยังมีทางเลือกใช้กลยุทธ์สื่ออ้อม ทำให้ขาดแนวทาง “การสื่อสารอย่างรับผิดชอบ”กฎหมายเน้น “ห้าม” มากกว่า “สอน” ยังไม่มีระบบอบรมหรือแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับผู้ทำธุรกิจ ที่เสี่ยงต่อการเกิดตลาดมืดออนไลน์ การห้ามขายหรือโปรโมตอย่างเข้ม อาจผลักให้การซื้อขายย้ายไปอยู่ในแพลตฟอร์มที่ตรวจสอบยาก
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อความเหมาะสมในยุคดิจิทัล(1)จัดทำแนวทาง “Digital Alcohol Marketing Guideline”ให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าอะไรทำได้–ทำไม่ได้ บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่นใช้ระบบ “แจ้งเตือน–แนะนำ” แทนการปรับหรือจับทันทีโดยเฉพาะกับผู้ค้ารายย่อยหรือผู้โพสต์ทั่วไป ควรสร้างช่องทางประชาสัมพันธ์ที่ปลอดภัยเช่น เว็บกลางหรือแอปที่ให้ข้อมูลสินค้าถูกกฎหมายโดยไม่ส่งเสริมการดื่ม
ต้องบูรณาการหน่วยงานด้านดิจิทัล เช่น กระทรวงดีอีเอส และสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัล เพื่อให้การบังคับใช้ทันโลกออนไลน์
โดยบทสรุปกฎหมายฉบับนี้เป็นความพยายาม “ปรับสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจ”แต่หากขาดความยืดหยุ่นต่อเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคสิ่งที่ตั้งใจจะ “ควบคุม” อาจกลายเป็นการ “กดทับ” ผู้ประกอบการแทนสิ่งที่สังคมไทยต้องการอาจไม่ใช่แค่กฎหมายที่เข้มแต่คือ กฎหมายที่เข้าใจยุคดิจิทัลและคนที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายจริง ๆ
https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/83910.pdf
ทีมข่าวกระบวนการยุติธรรม
สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ รายงาน

