กางกฎหมายแอลกอฮอล์ใหม่ 9 พ.ย. บังคับใช้! คุมเข้มโฆษณา–รีวิว แต่เสี่ยงกดทับผู้ประกอบการ

1222

พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ เข้มสุดรอบ 17 ปี ขยายคำนิยามถึงโซเชียล–รีวิวออนไลน์ ตั้งคณะกรรมการระดับชาติ–จังหวัด สร้างโซนปลอดเหล้า แต่ถูกวิจารณ์ขาดความยืดหยุ่น เสี่ยงปิดช่องผู้ค้ารายย่อย ดันตลาดมืดออนไลน์แทน

ทีมวิเคราะห์ข่าว สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ ได้เปิดอ่าน พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ 2 ) พ.ศ. 2568 ที่ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ วันที่ 9 พฤศจิกายน 2568 เป็นต้นไป

กฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่า “เข้มข้นที่สุด” ตั้งแต่มีการออก พ.ร.บ. ปี 2551​ โดยตั้งเป้าควบคุมพฤติกรรมการบริโภค ลดอุบัติเหตุ และปกป้องเยาวชนจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
แต่ในโลกยุคออนไลน์ — ขอบเขตของ “การสื่อสาร” และ “การตลาด” กลับซับซ้อนกว่าที่เคย

จุดแข็งของกฎหมาย คือการคุมเข้มครอบคลุมทุกช่องทางเพิ่มนิยาม “การสื่อสารทางการตลาด” ให้รวมถึงโซเชียลมีเดีย การโพสต์ การรีวิว การจัดกิจกรรมลดช่องว่างที่เคยเป็น “พื้นที่สีเทา” ของการโฆษณาออนไลน์ เป็นเพิ่มอำนาจคณะกรรมการระดับพื้นที่จังหวัดและ กทม. สามารถออกกฎเฉพาะพื้นที่ได้ เช่น กำหนดโซนปลอดเหล้า รอบสถานศึกษา วัด หรือสถานที่ราชการ ส่งเสริมการฟื้นฟูผู้มีปัญหาจากการดื่ม
มีมาตรการเชิงบำบัดและฟื้นฟู ไม่ใช่แค่ลงโทษ บูรณาการหน่วยงานหลายภาคส่วน
​

ตั้ง “คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ” โดยนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อให้ทุกกระทรวงทำงานร่วมกัน จุดอ่อนที่ยังเป็นคำถาม.? กฎหมายไม่ทันพฤติกรรมผู้บริโภคดิจิทัลโลกออนไลน์เปลี่ยนเร็ว การโพสต์รีวิวโดยผู้ใช้ทั่วไปอาจเข้าข่าย “โฆษณาโดยไม่ได้ตั้งใจ”ซึ่งยากต่อการบังคับใช้ และอาจกลายเป็นการปิดกั้นเสรีภาพเกินจำเป็น ซึ่งเป็นผลกระทบผู้ประกอบการรายย่อยโดยตรง
ร้านอาหาร–บาร์–ผู้ผลิตท้องถิ่น ขาดทุนช่องทางโปรโมต ในขณะที่แบรนด์ใหญ่ยังมีทางเลือกใช้กลยุทธ์สื่ออ้อม ทำให้ขาดแนวทาง “การสื่อสารอย่างรับผิดชอบ”กฎหมายเน้น “ห้าม” มากกว่า “สอน” ยังไม่มีระบบอบรมหรือแนวปฏิบัติที่ชัดเจนสำหรับผู้ทำธุรกิจ ที่เสี่ยงต่อการเกิดตลาดมืดออนไลน์ การห้ามขายหรือโปรโมตอย่างเข้ม อาจผลักให้การซื้อขายย้ายไปอยู่ในแพลตฟอร์มที่ตรวจสอบยาก

ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลเพื่อความเหมาะสมในยุคดิจิทัล(1)จัดทำแนวทาง “Digital Alcohol Marketing Guideline”ให้ผู้ประกอบการเข้าใจว่าอะไรทำได้–ทำไม่ได้ บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่นใช้ระบบ “แจ้งเตือน–แนะนำ” แทนการปรับหรือจับทันทีโดยเฉพาะกับผู้ค้ารายย่อยหรือผู้โพสต์ทั่วไป ควรสร้างช่องทางประชาสัมพันธ์ที่ปลอดภัยเช่น เว็บกลางหรือแอปที่ให้ข้อมูลสินค้าถูกกฎหมายโดยไม่ส่งเสริมการดื่ม

ต้องบูรณาการหน่วยงานด้านดิจิทัล
เช่น กระทรวงดีอีเอส และสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัล เพื่อให้การบังคับใช้ทันโลกออนไลน์

โดยบทสรุปกฎหมายฉบับนี้เป็นความพยายาม “ปรับสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจ”แต่หากขาดความยืดหยุ่นต่อเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคสิ่งที่ตั้งใจจะ “ควบคุม” อาจกลายเป็นการ “กดทับ” ผู้ประกอบการแทนสิ่งที่สังคมไทยต้องการอาจไม่ใช่แค่กฎหมายที่เข้มแต่คือ กฎหมายที่เข้าใจยุคดิจิทัลและคนที่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายจริง ๆ

https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/83910.pdf

ทีมข่าวกระบวนการยุติธรรม
สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ รายงาน