จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, วันที่ 26 ก.ย.68 – คณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชนสภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับ ศูนย์แม่โขงศึกษาสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครือข่ายประชาชนปกป้องแม่น้ำกก สาย รวก โขง จัดสัมมนากรอบกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศจัดการมลพิษข้ามพรมแดน จากเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ในเขตรัฐฉาน เมียนมา และลุ่มน้ำโขงตอนบน โดยนายอนรรฆ พิทักษ์ธานิน ผอ.ศูนย์แม่โขงศึกษา กล่าวต้อนรั บและขอบคุณ กมธ.กฎหมายฯ ให้ความสำคัญปัญหามลพิษข้ามพรมแดน ที่ต้องยกระดับการจัดการให้มากกว่าเป็นปัญหาของประชาชนในพื้นที่ แต่เป็นระดับภูมิภาคต้องให้ความสำคัญ
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ในฐานะรองประธาน กมธ.กฎหมายฯ กล่าวว่า วานนี้ (25) สภาฯ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ซึ่งหมวดหนึ่งในร่าง กม.นี้เกี่ยวข้องกับมลพิษข้ามพรมแดน ตนได้สอบถาม กมธ.ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ว่าจะดำเนินการทางการแพ่งอย่างไรกับบุคคลต่างชาติที่ประกอบธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านแล้วกระทบกับไทย เพราะยังไม่เห็น กม.ไทยที่จะปรับใช้ระหว่างประเทศ ซึ่งวันที่ 29-30 ก.ย.68 จะมีการแถลงนโยบายของรัฐบาล แต่ยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับการบริหารจัดการมลพิษข้ามพรมแดน เราอยากเห็นรัฐบาลทุกชุดป้องกันและปราบปรามมลพิษข้ามแดนที่เข้ามากระทบกับไทย “แม้มีการพูดคุยในระดับพื้นที่ แต่ไม่สามารถยกให้เป็นเรื่องวาระแห่งชาติและกรอบเวทีระหว่างประเทศได้ แต่ไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล”

นายกัณวีร์ กล่าวว่า จะนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากเวทีนี้เสนอไปยังรัฐบาลชุดใหม่ในการแถลงนโยบายที่จะถึงนี้ด้วย และเห็นว่าจะต้องมีการขับเคลื่อนในระดับภูมิภาคอาเซียน และเวทีระหว่างประเทศ ต้องใช้การทูตอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เมียนมาและจีน จัดการเรื่องนี้ให้ได้
ในเวทีสัมมนาสถานการณ์เหมืองแร่แรร์เอิร์ธ นายซุง ติง (Zung Ting) เครือข่ายสิ่งแวดล้อมคะฉิ่น เปิดเผยว่า สถานการณ์ในรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา มีความรุนแรงขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และเพิ่มมากขึ้นหลังการรัฐประหาร เมื่อปี 2564 ซึ่งในรัฐคะฉิ่นมีทรัพยากรจำนวนมาก ท่ามกลางความต้องการแร่แรร์เอิร์ธ เพื่อนำไปเป็นพลังงานสะอาด และมีความต้องการสะสม ไม่ว่าจะจากสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น โดยพบว่าแหล่งผลิตแร่อยู่ในรัฐคะฉิ่น โดยจีนเข้ามามีบทบาทในการขุดแร่แรร์เอิร์ธไปสร้างมูลค่าเพิ่ม
“จีนพยายามนำการขุดแร่แรร์เอิร์ธ ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม เขาไม่ได้ขุดในประเทศตัวเอง เพราะส่งผลกระทบที่เลวร้ายต่อสิ่งแวดล้อม เราพบว่าจีนเปลี่ยนนโยบายเปลี่ยนมาแปรรูปแทน จีนเปลี่ยนนโยบายไม่อนุญาตให้บริษัทจีนทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธของตัวเอง และทำเหมืองในอีกหลายพื้นที่ในเมียนมา เราพบว่าหลังปี 2015 เพิ่มขึ้นมาก และมากขึ้นอีกหลัง 2021 รัฐประหาร” นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชาวคะฉิ่นกล่าว
นายซุงกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ในรัฐคะฉิ่นน่าเป็นห่วงอย่างมาก คือการปราศจากการควบคุม มีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่า 60 % มีบ่อสารเคมีกว่า 5,000 บ่อ จาก 400 เหมือง ต่อมาพบเหมืองและบ่อแบบเดียวกันนี้ในรัฐฉาน กระทบกับประชาชนโดยเฉพาะชนพื้นเมือง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างหนักทุกปี และมีการรุกคืบเข้าไปแสวงหาแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมาของหลายประเทศ
“เราอยากเรียกร้อง ขอให้ประชาคมโลกร่วมกันในการเกิดความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อม ความมั่นคงของมนุษย์กับเราชาวคะฉิ่นในการต่อต้านเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม กับพวกเราชาวคะฉิ่น ตัวผมเองยังอยากกลับไปทำงานที่คะฉิ่นแต่ไม่ปลอดภัย เราต้องหนีมาที่เมืองไทย เราอยากเรียกร้องไปยัง KIA ด้วย อย่างผมสนับสนุน KIA ในการปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลต่อต้านทหารเมียนมา แต่ขอให้ KIA รับผิดชอบการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธด้วย” นายซุงกล่าว และระบุว่า ปัจจุบันการทำเหมืองดังกล่าวส่งผลกระทบมาถึงเชียงใหม่ เชียงราย และกระทบไปถึงแม่น้ำโขง จึงอยากให้นำบทเรียนจากหายนะของเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในรัฐคะฉิ่น มาร่วมกันป้องความเสียหายจากมลพิษข้ามพรมแดนนี้

น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ มูลนิธิแม่น้ำนานาชาติ International Rivers กล่าวว่า ตั้งแต่หลังเดือนมีนาคมที่ชาวบ้านร้องเรียน ทางกรมควบคุมมลพิษได้ไปตรวจสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก สาย รวก และโขง 10 ครั้งแล้ว ในช่วง 8 ครั้งพบสารหนู เกินค่ามาตรฐาน และเกินกว่า 4-5 เท่า รวมถึงในแม่น้ำโขงอยู่ในระบบที่น่ากังวล แม้ใน 2 ครั้งล่าสุดบางจุดจะไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ไม่ได้บอกว่าการสะสมสารปนเปื้อนในช่วงที่ผ่านมาจะไม่ใช่ปัญหา และหน่วยงานรัฐ อย่างหน่วยงานความมั่นคง รับรู้ว่ามีปัญหามาจากการสร้างเหมืองติดชายแดนไทยในเมียนมา มีการทำเหมืองแร่ในลำน้ำกว่า 10 แห่ง และ 2-3 แห่ง อยู่ติดชายแดนไทย เช่นใกล้ดอยแม่สลอง ที่มองเห็นด้วยตาเปล่า ไม่ถึง 1 กม.
“ภาพบ่อเหมืองในรัฐคะฉิ่น ดิฉันมองว่า เป็นเหมือน บ่อแห่งความตาย และภาพที่เกิดขึ้นในรัฐฉาน ที่ไหลลงสู่แม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่้น้ำโขง ซึ่งในเมียนมาไม่มีกฎหมายควบคุมเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ไม่มีการควบคุมโดยเฉพาะในกองกำลังว้า ยิ่งทำให้การแก้ปัญหานี้ยากขึ้น” น.ส.เพียรพร กล่าว และระบุว่าจากข้อมูลของศูนย์สติมสัน พบการทำเหมืองแร่แรร์เอิร์ธ ทางเหนือของลาวแล้วด้วย ความรุนแรงทางระบบนิเวศน์ เป็นยังมีสิ่งที่ยังไม่เห็นทั้งหมด แต่เราจะนิ่งนอนใจไม่ได้ และต้องเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้ชะลอการสร้างเขื่อนปากแบงกั้นแม่น้ำโขงในลาว หากยังจัดการสารปนเปื้อนไม่ได้

ดร.สืบสกุล กิจนุกร อาจารย์ ม.แม่ฟ้าหลวง เชียงราย เสนอข้อเรียกร้องจากเครือข่ายภาคประชาชน 10 ข้อไปยังรัฐบาลใหม่ โดยเชื่อว่าสิ่งที่จะยุติเหมืองแร่ได้ อาจต้องเริ่มจากการยุติการนำเข้าเมืองในไทย ที่พบว่ามีไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท ต้องตรวจสอบว่านำมาจากแหล่งใด โดยข้อเรียกร้อง ประกอบด้วย ตรวจหาสารในดิน 12,000 ไร่ ในอ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ก่อนเกษตรกรจะเริ่มปลูกใหม่, ตรวจสารปนเปื้อนในข้าวนาปี จ.เชียงรายก่อนเก็บเกี่ยว, หาแหล่งน้ำดิบแห่งใหม่ในแม่น้ำกก สาย รวก, ปรับปรุงประปาหมู่บ้านให้ตรวจสารโลหะหนักได้, หาแหล่งน้ำใหม่ให้ชาวแม่อาย, ตั้งศูนย์ตรวจโลหะหนักในพื้นที่, ตั้งคณะทำงานร่วม ภาครัฐ ภาคประชาชน เพื่อหาทาง ปิดเหมือง และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ, ยกเลิกการสร้างฝายตักตะกอนดิน, เปิดเจรจาเมียนมาและจีน อย่างเร่งด่วน และ ยุติการนำเข้าแร่มาในประเทศไทย และตรวจสอบว่าปัจจุบันมีการส่งออกไปประเทศที่ 3 หรือไม่ และการนำเข้าแร่เหล่านี้มีแหล่งที่มาจากไหน
ด้าน น.ส.สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระ และ ผอ.สถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภายโดยชุมชน (CHIA Platform) กล่าวว่า ประเด็นเหมืองแร่แรร์เอิร์ธในเมียนมามีความซับซ้อน เพราะไม่ได้ขออนุญาตจากรัฐบาลเมียนมา สิ่งที่เรากำลังเจอคือ ผลกระทบต่อสุขภาพที่เป็นพิษสะสม สารโลหะหนักหลายตัวเป็นลักษณะของค็อกเทล อาจจะเสริมแรงกัน และกระทบต่อระบบประสาทได้ จึงต้องทำงานร่วมกันทุกระดับ และผลักดันเป็นวาระระดับโลก ต้องหารือกับองค์การอนามัยโลก (WHO) และผลักดันไปพูดคุยในสมัชชาองค์การอนามัยโลก (World Health Assembly) รวมทั้งสหประชาชาติ เพื่อกำกับการทำธุรกิจเหมืองแร่ที่มีผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนและสิทธิมนุษยชน

นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ เปิดเผยว่า เหมืองแร่แรร์เอิร์ธเป็นภัยพิบัติที่มีความเสียหายสูงและยังไม่มีทางออก อยากให้รัฐบาลจัดทำแผนปฏิบัติการระดับประเทศในการแก้ไขปัญหา “รัฐบาลจำเป็นต้องยกระดับการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ไม่ใช่ให้อยู่ในระดับของคณะกรรมาธิการฯ แต่ควรจะทำเป็นแผนปฏิบัติการระดับประเทศ ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดโดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งเรื่องสุขภาพความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ รัฐบาลยังไม่เคยพูดถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากเรื่องดังกล่าว เชื่อว่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจระดับประเทศสั่นคลอนได้”
น.ส.เพ็ญโฉม กล่าวว่า หากหยุดที่ต้นทางไม่ได้ ภาคธุรกิจควรมีส่วนรับผิดชอบช่วยแก้ปัญหา เช่น การระงับหรือยกเลิกการส่งออกสารเคมีตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้ภาคธุรกิจตระหนักถึงการแก้ปัญหาที่ต้นทาง สำหรับแผนปฏิบัติการอยากให้มีการวางแผนในระยะ 3 ปี 5 ปี เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการยกระดับให้มีกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งอาเซียนต้องถกเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง อาจจะเริ่มต้นจากภูมิภาคลุ่มน้ำโขงก่อน และจากข้อมูลในปี 2565 พบกลุ่มทุนไทยมีการส่งแร่แรร์เอิร์ธซึ่งเป็นกลุ่มหล่อหลอมแถวจังหวัดระยอง เป็นจำนวนกว่าพันตัน รัฐบาลจึงต้องเร่งตรวจสอบต้นตอ ทำให้ทุกอย่างโปร่งใส เป็นที่รับรู้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน

น.ส.ส.รัตนมณี พลกล้า มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เปิดเผยว่า กลไกระดับภูมิภาคอย่างคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ที่สามารถใช้เป็นเวทีกลางเชิญทั้งสองรัฐบาลมาพูดคุยกัน ใช้กลไกทางการทูต ใช้เวทีต่าง ๆ มาพูดคุย โดยรัฐบาลไทยจะต้องยกประเด็นไปพูดคุยในเวทีอาเซียนเพื่อหาแนวทางการแก้ไขร่วมกันด้วย ส่วนการกดดันให้จีนยุติหรือระงับการทำเหมืองในเมียนมา จะต้องใช้เวทีระดับโลก แต่รัฐไทยจะต้องมีความเข้มแข็ง มีท่าทีที่แข็งกร้าว ทว่าปัจจุบันรัฐบาลยังไม่ทำอะไร ทั้งที่ประชาชนนับแสนคนต้องเผชิญกับผลกระทบ อยากเห็นการจัดการมลพิษข้ามพรมแดนจากรัฐบาล 4 เดือนเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่สุดที่รัฐบาลจะต้องมาแก้ปัญหาให้ได้
รศ.ดร.นฤมล ทับจุมพล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าในมุมรัฐศาสตร์เราอาจจะติดกับดักว่าประเด็นดังกล่าวเป็นบูรณาการภาพเหนือดินแดน จึงขอเสนอแนวคิด “No harm principle” ไม่ควรสร้างความรุนแรงหรือผลกระทบต่อประเทศอื่น หรือรัฐควรมีภารกิจว่ากิจกรรมไม่ควรกระทบต่อรัฐอื่น อำนาจอธิปไตยของรัฐจะต้องมีความรับผิดชอบ อำนาจต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
โดยกรณีเหมืองแร่แรร์เอิร์ธส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของไทย มีการใช้สารเคมีที่ส่งผลกระทบต่อมนุษยชาติ จึงขอเสนอให้มีการพูดคุยเรื่องเหมืองแร่แรร์เอิรธ์ที่เป็นมลพิษข้ามพรมแดนในการประชุมอาเซียนที่จะมีขึ้นในช่วงเดือน พ.ย.นี้ ภายใต้ความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution) ทั้งยังเสนอให้มีการพูดคุยเรื่องความมั่นคงทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ในกรอบ RBC โดยภาคท้องถิ่นจะต้องมีความเข้มแข็ง สร้างระบบเตือนภัย หรือเขตกันชน (Buffer Zones)

