วันนี้ (22 กันยายน 2568) นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว. ได้ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบแล้ว.กฎหมายฉบับนี้ถือเป็นการปรับปรุงกฎหมายเดิมที่ใช้มาตั้งแต่ปี 2544 หรือกว่า 24 ปีที่ผ่านมาเพื่อให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญมาตรา 25 วรรคสี่ ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ หรือจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาและช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
ที่ผ่านมากฎหมายเดิมยังไม่ครอบคลุมถึงผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัว ทั้งที่ยังไม่มีสถานะเป็นจำเลย และยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ามีความผิด ข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ระบุว่ามีผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีอยู่กว่า 86,396 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องสูญเสียอิสรภาพทั้งที่คดียังไม่สิ้นสุด
หากพิจารณาสถิติของกองทุนคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในช่วงปี 2563–2565 จะพบว่ามีผู้ได้รับการชดเชยเยียวยาหลังพ้นผิดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น ปี 2563 มี 60 ราย ปี 2564 มี 67 ราย และในปี 2565 สูงถึง 1,016 ราย ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้อย่างชัดเจนว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ถูกคุมขังก่อนตัดสินแต่ท้ายที่สุดกลับไม่ถูกพิพากษาว่ามีความผิด ซึ่งในทางหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงปรากฏการณ์ “แพะ” ในกระบวนการยุติธรรม
“ผมเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายฉบับนี้ที่จะเข้ามาช่วยเยียวยา ถือเป็นการจัดการในปลายน้ำ หลังเกิดความเสียหายแล้ว แต่สิ่งที่ผมอยากฝากไว้คือเราต้องไม่ลืมที่จะทบทวนไปถึงต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมด้วย รัฐธรรมนูญมาตรา 29 ได้ระบุชัดเจนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะต้องได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่มีความผิด และก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดเราจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำผิดไม่ได้ สิทธินี้ควรสะท้อนออกมาผ่านสิทธิการประกันตัวและการปล่อยชั่วคราว แต่ในทางปฏิบัติกลับมีคนจำนวนมากที่ไม่อาจเข้าถึงสิทธิพื้นฐานนี้ได้”
แม้เรามีกองทุนยุติธรรมช่วยเหลือผู้ขาดหลักประกันในการประกันตัว แต่ก็ยังมีคนหลุดรอดไปจากระบบและต้องถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาคดี ปัญหานี้ไม่เพียงแต่กระทบสิทธิของบุคคลเท่านั้นแต่ยังกระทบถึงความเป็นธรรมของทั้งกระบวนการยุติธรรม เพราะเมื่อใครสักคนถูกคุมขังอยู่แล้ว หลายครั้งพวกเขาเลือกที่จะรับสารภาพแม้ว่าอาจจะไม่มีความผิดจริง เพียงเพื่อให้โทษลดลงและพ้นจากการถูกคุมขังอันยาวนาน ความจริงจึงถูกบิดเบือนและหลักความยุติธรรมถูกบั่นทอน
ดังนั้น จึงขอฝากข้อสังเกตไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่าการออกกฎหมายเยียวยาเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรพิจารณาควบคู่ไปกับการปรับปรุงกระบวนการต้นน้ำ เช่น การใช้ดุลพินิจของพนักงานสอบสวน อัยการ และศาล ในการพิจารณาปล่อยตัวชั่วคราวให้สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของความยุติธรรม ไม่ควรปล่อยให้เงื่อนไขทางเศรษฐกิจหรือสังคม เช่น เงินในกระเป๋าหรือความสัมพันธ์ส่วนบุคคล เป็นตัวชี้ขาดว่าใครจะได้สิทธิหรือถูกคุมขัง เพราะท้ายที่สุดหากเราต้องการให้กระบวนการยุติธรรมไทยมีความเป็นธรรมอย่างแท้จริงเราต้องไม่เพียงจัดการที่ “ปลายน้ำ” ด้วยการชดเชยเยียวยา แต่ต้องสร้างความเป็นธรรมตั้งแต่ “ต้นน้ำ” ด้วยการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลยให้มากกว่าที่เป็นอยู่

