เห็นโฉมหน้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)นายอนุทิน ชาญวีรกูล แบบตัวจริงเสียงจริงแล้ว ความจำเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองสมัยที่”จอมมารน้อย”ยังเดินอยู่ใสนามข่าวผุดขึ้นแบบเดจาวูแม้เวลาจะผ่านมากว่า 25 ปี

ถ้าย้อนไปในยุคที่รัฐธรรมนูญ 2540 จะบังคับใช้ นักการเมือง สื่อมวลชน และนักวิชาการ ต่างประสานเสียงกันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มีข้อด้อยน้อยที่สุด เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดฉบับหนึ่ง เพราะเปิดทางให้ประชาชนทั่วประเทศเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ได้ มีองค์กรอิสระที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง
เมื่อบังคับใช้เต็มรูปแบบ มีการเลือกตั้ง สส.พรรคไทยรักไทย ของนายทักษิณ ชินวัตร ชนะอันดับ 1 จัดตั้งรัฐบาลบริหารปะเทศ ตามด้วยการเลือกตั้ง สว. ผลการเลือกตั้งพบว่าสว.ส่วนใหญ่เป็นเครือข่ายของนักการเมือง
นายทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่บริหารประเทศครบ 4 ปี ประชาชนให้ความเชื่อมั่นเพราะเป็นครั้งแรกที่นโยบายหาเสียงถูกผลักดันออกมาอย่างเป็นรูปธรรม หมดวาระเลือกตั้งใหม่ พรรคไทยรักไทยชนะท่วมท้นถึง 377 เสียง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มอำนาจเก่าและนักการเมืองฝ่ายค้านอนุรักษ์นิยม
ส่งให้การทำงานของนายทักษิณ ถูกจับผิดอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะการทุจริต เป็นปัญหาอ่อนไหวของคนไทย มีการเคลื่อนไหวทั้งรูปแบบม็อบและสื่อมวลชนเลือกข้าง เจือสมที่รัฐบาลนายทักษิณ ค่อนข้าจะเป็นเนื้อเดียวกับ สว. ที่ฝ่ายตรงข้ามตั้งฉายาว่าสภาผัวเมีย สร้างกระแสโจมตีอย่างหนักว่าเป็นรัฐบาลเอื้อพวกพ้อง สส.และ สว.มีความสัมพันธ์ไม่ต่างจากสภาผัวเมีย
กระทั่งกลุ่มพันธมิตรฯออกมาเคลื่อนไหวสร้างเงื่อนไขให้เผด็จทหารยึดอำนาจฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ยกร่างขึ้นใหม่ จังหวะยกร่างมีการโจมตีรัฐธรรมนูญ 2540 ว่าเอื้อให้นักการเมืองผูกขาดอำนาจ ยึดสภาบนสภาล่างเป็นสภาผัวเมียและญาติพี่น้อง
เมื่อจัดให้เลือกตั้งใหม่ยังพ่ายให้กับพรรคนายทักษิณ แต่กลุ่มอำนาจเก่าและพวกอนุรักษ์ไม่ยอมรับกติกา จัดม็อบเคลื่อนไหวกดดันจนรัฐบาลของพรรคนายทักษิณบริหารประเทศไม่ได้ กลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มอนุรักษ์นิยมจัดการส่งไม้ต่อให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอื้อพวกพ้องเริ่มลดลง สื่อเลือกข้างมองข้ามไม่วิจารณ์ว่าสภาบนและสภาล่างเป็นสภาเครือญาติ
ครั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ พ่ายให้พรรคเพื่อไทย ของนายทักษิณ ได้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ วาทะรัฐบาลเอื้อพี่น้อง สภาญาติพี่น้อง สภาผัวเมีย เริ่มกระหึ่มอีกครั้ง กระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินเกมพลาด ผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย กลายเป็นเหยื่อให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมกระโดดงับสร้างเงื่อนไขให้ทหารยึดอำนาจ นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ช่วงรัฐบาลเผด็จทหารบริหารประเทศ รัฐมนตรีและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ที่ได้รับการแต่งตั้งไม่ได้แตกกับยุค สว.เลือกตั้งที่เรียกกันว่าสภาผัวเมียหรือ ครม.ครอบครัว เพราะเครือญาติและเครือข่ายผู้มีอำนาจได้รับแต่งตั้งให้เสวยสุขกันทั่วหน้า ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ของการช่วงชิงอำนาจที่กลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มอนุรักษ์นิยมยึดกุมไว้ไม่ให้ขยับ แต่จะเปิดช่องให้ประชาชนรู้สึกว่ามีส่วนร่วมบ้าง ก็ต่อเมื่อเขามองว่าอำนาจและผลประโยชน์เริ่มถูกคุกคาม
ยิ่งมาเห็นโฉมหน้ารัฐมนตรีในรัฐบาลนายอนุทิน ทั้งที่เป็นรัฐบาลที่ถูกมองว่าอายุสั้น ควรจะจัดรัฐมนตรีให้ประชาชนรู้สึกว่าตำแหน่งเสนาบดีไม่ใช่มรดกตกทอด แต่จัดแบบวังวนเดิมๆ อาทิ พ่อขาดคุณสมบัติส่งต่อให้ลูก หรือเกรงใจพี่ต้องตั้งน้องด้วย หรือเกรงใจพ่อต้องตั้งลูก
ขอยกตัวอย่างสัก 2-3 ชื่อ อาทิ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นั่งแทนนายสันติ พร้อมพัฒน์ บิดา ที่พรรคประชารัฐวางตัวไว้ หรือมาแบบเครือข่ายสื่อเรียกกันว่าเครือข่ายบุรีรัมย์ ประกอบด้วย นายโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯ นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย และ พล.ต.ต.รุทธพล เนาวรัตน์ รมว.ยุติธรรม หรือประเภทพี่กับน้อง ร.อ.ธรรมนัสพรหมเผ่า รองนายกฯและรมว.เกษตรฯกับนายอัครา พรหมเผ่า รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นต้น
เมื่อมองบริบทโดยรวมแล้วการเมืองไทยไม่ได้พัฒนาแต่อย่างใด แม้จะมีความพยายามร่างรัฐธรรมนูญที่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการยกร่างจนออกมาบังคับใช้ เมื่อไม่เป็นไปตามที่กลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มอนุรักษ์นิยมคาดหวัง จะถูกฉุดรั้งสร้างเงื่อนไขให้เผด็จทหารยึดอำนาจ เมื่อวางกติกาได้ดังใจจะปล่อยให้เดินหน้าแบบประชาธิปไตยครึ่งบกครึ่งบกน้ำ และเมื่อกติกาอยู่เหนือการควบคุมจะใช้อำนาจทหารฉุดรั้งไว้ดังเดิม จะวนเวียนแบบนี้ไปเรื่อยๆแบบวงจรอุบาทว์
ดังนั้นถ้าคอการเมืองหรืแประชาชนทั่วไปอยากให้การเมืองการปกครองไทยหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ ไม่อยากเป็นเดจาวู คงทำได้อย่างเดียวคือทำใจ เพราะเป็นแค่ผู้อาศัย !!!


