“นิกร” เตือน ต้องระวังตั้งคำถามประชามติแก้ รธน. ชี้เลือกตั้ง สสร.โดยตรง อาจขัด กม. แนะให้ตั้งคำถามโดยเว้นแตะหมวด 1-2  ครม.ใหม่ควรตั้งงบรอ

331

กรุงเทพฯ, วันที่ 10 ก.ย. – จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ต้องทำประชามติ 3 ครั้ง เพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ นายนิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ในฐานะอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาร่าง พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ให้ความเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า ในฐานะเป็นอดีตประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ขอเสนอให้มีความระมัดระวังในการดำเนินการตั้งคำถามให้เป็นไปตาม รธน.มาตรา 166 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดอันมิใช่เรื่องที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ” โดยคณะรัฐมนตรีต้องมีมติให้ออกเสียงประชามติตาม พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2564

นายนิกร กล่าวว่า ดังนั้นหากคณะรัฐมนตรีตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไข รธน.ทั้งฉบับใหม่โดยให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งลงไปในคำถามประชามติด้วย ตามข้อตกลง (MOA) ข้อ 2 ของการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดนี้ ตนเห็นว่าไม่สามารถกระทำได้เพราะขัดกับ รธน.มาตรา 166 เพราะในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันไม่มี สสร. บัญญัติไว้ จึงเห็นว่าไม่สามารถตั้งคำถามประชามติในลักษณะดังกล่าวได้

ผู้อำนวยการพรรค ชทพ. กล่าวว่า ที่สำคัญ คำวินิฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ชี้ว่าการจัดทำร่าง รธน.ฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติหมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งรัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่าง รธน.ได้โดยตรง ซึ่งกรณีนี้ตนยังเห็นว่าอาจจะมี สสร.ได้แต่ต้องมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมเหมือนการจัดทำรัฐธรรมนูญปี2540โดยสสร.ที่ให้ประชาชนเลือกมาจำนวนหนึ่งก่อนแล้วรัฐสภามาคัดเลือกภายหลังอีกครั้งหนึ่ง แต่ต้องรอไปกำหนดรายละเอียดและตั้งคำถามในช่วงที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 หมวด 15 ซึ่งจะเป็นการถามประชามติเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งสามารถดำเนินการได้ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้หากคณะรัฐมนตรีหรือทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องยังฝืนที่จะตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่โดยให้มี สสร. ลงไปในคำถามประชามติด้วย อาจถูกร้องว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้

นอกจากนี้นายนิกร ยังกล่าวด้วยว่า การตั้งคำถามประชามติโดยไม่ยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 จะนำไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองขึ้นได้ เนื่องจากการศึกษาเรื่องปัญหาของรัฐธรรมนูญ 2560 สรุปว่า 2 หมวดนี้ไม่มีปัญหาใดที่ควรแก้ไข ดังนั้น การตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ควรยกเว้นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้ไม่ได้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญของประชาชนฉบับใหม่ ที่พึงประสงค์ซึ่งตั้งใจกันมานาน

ผอ.พรรค ชทพ. ชี้ว่า พรบ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒ ยังไม่ได้ประกาศใช้เนื่องจากอยู่ในช่วงที่นายกรัฐมนตรีนำร่าง กม.ดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงใช้บังคับเป็นกฎหมายได้ ระหว่างนี้จึงควรดำเนินการประสานงานกับคณะกรรมการการเลือกตั้งในการเตรียมความพร้อมเพื่อออกกฎหมายลำดับรอง เช่น กฎ ระเบียบ และประกาศต่างๆ เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับก็สามารถดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติได้อย่างต่อเนื่องต่อไป นอกจากนี้ ครม.ชุดใหม่ต้องเตรียมพร้อมเรื่องการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการออกเสียงประชามติ ทั้งนี้ เพื่อจะไม่มีปัญหาและอุปสรรคและสภาวะข้อขัดข้องใด ๆ เกิดขึ้นอีก เนื่องจากเวลาในการจัดทำประชามติเรื่องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีอยู่น้อยมาก