กองทัพบก, 10 กันยายน – พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่สำนักข่าว Khmer Times นำเสนอข่าวอ้างว่า มีกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมกัมพูชาออกมาเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กดดันไทยให้ยุติการรุกล้ำและการล้อมรั้วในดินแดนกัมพูชา เพราะเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง สร้างความไม่เป็นธรรมแก่กัมพูชา และเพิ่มความตึงเครียดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจนำไปสู่การปะทุของความขัดแย้งด้วยอาวุธอีกครั้ง ว่าหากวิเคราะห์ดูแล้ว พบว่ากัมพูชาใช้ภาคประชาสังคมเข้ามากดดัน ทั้งการแสดงออก ณ บริเวณพื้นที่ชายแดน และการสื่อสารผ่านสื่อ เพื่อหวังให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งก่อนหน้านี้จะเห็นได้จากการที่กัมพูชาได้ใช้มวลชนและประชาชนเข้ามาแสดงพฤติกรรมที่ยั่วยุหรือไม่เหมาะสมต่อทหารไทยในบริเวณบ้านหนองจาน จ.สระแก้ว โดยเป็นไปในลักษณะคล้ายกับประเด็นนี้ ต่างแค่เปลี่ยนสถานที่หรือเวทีในการแสดงออก ซึ่งข้อมูลที่กัมพูชาได้กล่าวอ้างหรือเรียกร้องต่อสหรัฐฯ ไปนั้น ล้วนเป็นเนื้อหาที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น

โฆษกกองทัพบกยืนยันว่าทุกการปฏิบัติการทางทหาร เป็นไปตามสิทธิและขอบเขตที่กำหนดตามหลักสากล ไม่เคยกระทำการใด ๆ หรือรุกล้ำพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะที่กัมพูชาได้กล่าวอ้างเรื่องการจัดวางรั้วลวดหนามนั้น หน่วยทหารในพื้นที่ดำเนินการภายในเขตประเทศไทย เพื่อป้องกันตนเอง ป้องกันประเทศ และดูแลความปลอดภัยให้ประชาชน ตามกฎบัตรสหประชาชาติ กลับกันฝ่ายกัมพูชายังคงละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงที่ได้ให้ไว้ ทั้งการลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิด PMN-2 ในพื้นที่ประเทศไทย เพื่อหวังทำร้ายทหารไทย, การปรับฐานที่มั่นทางทหารในบริเวณพื้นที่อ้างสิทธิ์หรือพื้นที่ที่เป็นเขตของประเทศไทย อาทิ ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์, การสร้างสถานการณ์ยั่วยุต่อทหารไทย ตลอดจนการให้ข่าวสารข้อมูลที่บิดเบือนข้อเท็จจริงต่อสาธารณะและนานาชาติ ดังเช่นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดต่อข้อตกลง และพยายามเพิ่มความตึงเครียดของสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชามากขึ้น ขณะที่ฝ่ายไทยที่ปฏิบัติตามข้อตกลงมาโดยตลอด
พลตรีวินธัย กล่าวว่า ขณะเดียวกันประเด็นการรุกล้ำของชาวกัมพูชาเข้ามาตั้งถิ่นฐาน และชุมชนในแผ่นดินไทยตั้งแต่ในอดีต และไม่ยอมเดินทางกลับประเทศ ทั้งที่บ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง รวมทั้งบ้านบึงตะกวน อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว โดยประเทศไทยได้ทำการยื่นหนังสือประท้วงไปหลายครั้ง แต่ไม่เป็นผล และไม่ได้รับความร่วมมือในการจัดระเบียบพื้นที่จากทางฝั่งกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้สร้างความไม่เป็นธรรมให้กับประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมากในการจัดการพื้นที่และการเสียผลประโยชน์ในที่ดินทำกิน ซึ่งหากกัมพูชาต้องการร่วมแก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง ควรนำประเด็นดังกล่าวเข้าร่วมหารือในเวทีการประชุมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแสดงออกปฏิบัติตามข้อตกลงต่างๆ อย่างจริงใจ แทนที่จะพยายามเรียกร้องหรือกล่าวอ้างให้ข้อมูลที่บิดเบือน

