“พริษฐ์” ชี้ ประชาชน-เพื่อไทย ควรจับมือตรวจสอบ รบ.-ผลักดัน กม. ดีกว่าใช้นิติสงครามทำลายล้างกัน

517

กรุงเทพฯ, วันที่ 7 ก.ย. – “ไอติม” พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษก พรรคประชาชน (ปชน.) ผมเห็นว่าพรรคเพื่อไทย (พท.) มีสิทธิที่จะวิจารณ์การตัดสินใจของพรรคประชาชนเต็มที่ และ ปชน.ก็ต้องพร้อมน้อมรับทุกความเห็นและทุกการตรวจสอบ แต่ตนเห็นว่าเหตุผลที่ สส. พรรคเพื่อไทยใช้ในการยื่นคำร้องไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าการทำข้อตกลง (MOA) ของพรรคประชาชน เป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญและเข้าข่ายการล้มล้างการปกครองนั้น มีความย้อนแย้งและไม่ส่งผลดีต่อความเข้มแข็งของประชาธิปไตย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่พรรคเพื่อไทยต้องการยึดมั่น

พริษฐ์ กล่าวว่า พท. บอกว่าการทำข้อตกลงตามเงื่อนไข 3 ข้อหลัก ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ก่อนที่พรรคประชาชนจะตัดสินใจว่าจะทำข้อตกลงกับพรรคใด พรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่ประกาศว่ายอมรับทุกเงื่อนไขของของ ปชน. หลังจากได้มีการหารือกันถึงรายละเอียดที่สำนักงานพรรคประชาชน ยังไม่นับถึงความพยายามของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านั้นที่ได้พยายามประกาศเงื่อนไขหรือข้อเสนอเพิ่มเติมจาก 3 ข้อเสนอหลัก

เพื่อไทยบอกว่าการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยขัดต่อหลักการประชาธิปไตย แต่นอกเหนือจากการมีอยู่ของรัฐบาลเสียงข้างน้อยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และเคยเกิดขึ้นแล้วหลายครั้งในประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่มาพูดคุยกับผู้บริหารพรรคประชาชน ก็เข้าใจและยอมรับเองตั้งแต่วันนั้น ว่าพร้อมจะคงสถานะความเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในห้วงเวลาก่อนยุบสภา หากมีการทำข้อตกลง MOA กับพรรคประชาชน

โฆษก ปชน. ตั้งคำถามว่า เพื่อไทยบอกว่าการ ยุบสภาภายใน 4 เดือน ก่อนจะหมดวาระในเดือน พ.ค. 2570 อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่  พท. กลับเป็นฝ่ายที่ยืนยันว่าพร้อมยุบสภาภายใน 4 เดือน ตอนพยายามโน้มน้าวให้พรรคประชาชนทำข้อตกลง MOA ร่วมกับเพื่อไทย รวมถึงยังได้ยื่นข้อเสนอพิเศษหลังจากที่ ปชน.ได้ลงนามข้อตกลง MOA ไปแล้ว ว่าพร้อม “ยบุสภาทันที” – หากพรรคเพื่อไทยยังยืนยันว่าจะใช้เหตุผลนี้ในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แล้วเราจะตีความคำสัญญาที่ผ่านมาเรื่องการยุบสภากันอย่างไร?

พรรคเพื่อไทยบอกว่าการทำ ข้อตกลง MOA ต่าง ๆ ระหว่างพรรคการเมือง อาจขัดรัฐธรรมนูญหรือเข้าข่ายการครอบงำพรรคการเมือง ทั้งที่ข้อตกลงนั้นล้วนถูกทำอย่างเปิดเผยและเกี่ยวข้องกับประเด็นทางสาธารณะ  หาก พท.เชื่อแบบที่ยื่นคำร้องจริง ก็เท่ากับเป็นความพยายามสร้างบรรทัดฐานให้พรรคการเมืองหลีกเลี่ยงการทำสัญญาประชาคมต่อหน้าประชาชนเกี่ยวกับจุดยืนหรือนโยบายสาธารณะ ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อแนวทางการทำการเมืองที่โปร่งใสและประชาชนมีส่วนร่วมที่ทุกฝ่ายน่าจะอยากเห็น

“ผมสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของพรรคเพื่อไทยต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชน และผมยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยเองเป็นฝ่ายที่โดนผลกระทบมาก่อนหน้านี้จากกลไกของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ผมเห็นว่าหากเราต้องการให้รัฐบาลภูมิใจไทยไม่เบี้ยวต่อข้อตกลงเรื่องยุบสภาและการปลดล็อกการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และไม่กระทำการใดๆอันจะส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมในช่วง 4 เดือนข้างหน้านี้ การทำงานหนักร่วมกันของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยในฐานะฝ่ายค้าน จะเป็นประโยชน์ต่ออนาคตประเทศ กว่าการหักหาญหรือทำลายล้างกันด้วยกลไกนิติสงคราม” สส.บัญชีรายชื่อ ปชน. กล่าว

พริษฐ์ กล่าวว่า เคารพสิทธิของพรรคเพื่อไทยในการทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเป็นเอกเทศโดยไม่ร่วมมือกับพรรคประชาชน และเป็นคนหนึ่งที่ยืนยันมาตลอดว่าในระบบรัฐสภา ว่าพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่จำเป็นต้องร่วมมือกัน เหมือนกับพรรคร่วมรัฐบาล แต่เห็นว่าด้วยคณิตศาสตร์การเมืองในระบบรัฐสภา การร่วมมือกันในประเด็นที่เห็นตรงกัน จะทำให้ฝ่ายค้านทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เพราะจะมีเสียง สส. ของ 2 พรรครวมกัน เกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร แม้ พท.กับ ปชน. ต่างมี สส. ของตนเอง เพียงพอในการ เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่หากต้องการจะล้มรัฐบาลผ่านการลงมติไม่ไว้วางใจในกรณีที่มีการเบี้ยวสัญญาหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ ความร่วมมือของ 2 พรรคมีส่วนสำคัญต่อการมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภา

เขากล่าวว่า แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน ต่างมีร่างกฎหมายของตนเองที่อยากผลักดันในสภา แต่หาก 2 พรรคพูดคุยและตกลงกัน กฎหมายทุกฉบับที่ 2 พรรคเห็นตรงกันว่าควรผลักดัน ก็สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาไปได้ ในขณะที่กฎหมายทุกฉบับของรัฐบาลภูมิใจไทยที่ 2 พรรคเห็นตรงกันว่าไม่ควรให้ผ่าน ก็ไม่มีทางผ่านความเห็นชอบของสภาไปได้

“แม้พรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาชน อาจมีมุมมองที่ต่างกันต่อการตัดสินใจของพรรคประชาชนที่ผ่านมา แต่หากทั้ง 2 พรรคร่วมกันคงความเป็นเอกภาพของ สส. ภายในพรรคตนเองได้สำเร็จ สถานะของรัฐบาลใหม่ จะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยต่อไป และฝ่ายค้านจะทำงานได้ต่อไปในฐานะเสียงข้างมากในสภา ผมเห็นว่าการเมืองไทยควรมุ่งสู่การติดตามการรักษาสัญญา การตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาล และการผลักดันกฎหมายที่ก้าวหน้าในสภาให้เกิดผลแท้จริง แทนที่จะปล่อยให้การต่อสู้ทางการเมืองถูกลดทอนให้เหลือเพียงนิติสงครามเพื่อทำลายล้างกัน อันไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ในระยะยาว” โฆษก ปชน. กล่าว