วันที่ 28 ส.ค. 68 พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า วันนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกแถลงการณ์แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ต่อเหตุการณ์ที่ทหารไทย 3 นาย ได้รับบาดเจ็บจากการเหยียบกับระเบิด PMN-2 ในพื้นที่บริเวณปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ โดยเฉพาะ พลทหารอดิศร ป้อมกลาง ที่บาดเจ็บรุนแรงถึงขั้นขาขวาท่อนล่างขาด ซึ่งนับเป็นเหตุเหยียบกับระเบิดครั้งที่ 6 ภายในเวลาเพียง 2 เดือน
“พรรคพลังประชารัฐชี้ว่า เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนอันตรายที่ไม่อาจปล่อยให้ซ้ำซากได้อีกต่อไป และเป็นเครื่องยืนยันว่ามาตรการที่รัฐบาลใช้ในการแก้ปัญหาความมั่นคงชายแดนยังล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว
พรรคเสนอ 6 แนวทางเร่งด่วนเพื่อยุติวิกฤติ ดังนี้ 1. รัฐบาลต้องมีมาตรการเชิงรุกอย่างจริงจังและเด็ดขาด ไม่ใช่เพียงแค่การออกแถลงการณ์หรือเยียวยาภายหลัง แต่ต้องยกระดับความมั่นคงชายแดนอย่างเป็นระบบ 2. เร่งสร้าง “กำแพงถาวร” ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการตกลงกันเรียบร้อยแล้ว มีหลักเขตที่ชัดเจน ซึ่งสามารถสร้างกำแพงได้ทันที ส่วนบริเวณที่มีปัญหา หรือที่เกิดเหตุซ้ำซาก ต้องมีมาตรการชัดเจนเพื่อป้องกันการรุกล้ำและลดความเสี่ยงกำลังพลต้องสูญเสียแขนขาและชีวิต 3. รัฐบาลต้องเดินหน้าใช้กฎหมายผลักดันผู้รุกล้ำออกจากเขตแดนไทยทันที และหากไม่ปฏิบัติตาม ต้องดำเนินคดีโดยไม่ลังเล เพื่อแสดงถึงความจริงจังในการปกป้องอธิปไตย 4. ยืนยันสิทธิของคนไทยทุกตารางนิ้ว โดยใช้ทั้งช่องทางการทูต กฎหมายระหว่างประเทศ และมาตรการทางความมั่นคงควบคู่กัน 5. เร่งรัดการดำเนินคดีกับสมเด็จ ฮุน เซน ตามกฏหมายไทย โดยแยกเป็นรายคดีต่างกรรม ต่างวาระ เมื่อศาลฯ ออกหมายจับสมเด็จ ฮุนเซน สามารถนำข้อมูลและพยานหลักฐานประกอบการดำเนินคดีนายฮุนเซนฯ ในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ได้ในทันที 6. ฝ่ายทหาร และตำรวจ ต้องเร่งรัดสอบสวนปากคำ 18 ทหารกัมพูชาที่ควบคุมตัวอยู่ ว่าเป็นทหารหน่วยไหน มาปฏิบัติหน้าที่อย่างไร ภายใต้การควบคุมบังคับบัญชาของใคร ใครเป็นหัวหน้า และให้ดำเนินคดีเหล่านายทหารที่สั่งการจนถึงสมเด็จ ฮุน เซน อย่าปล่อยกลับไปเฉย ๆ
พรรคพลังประชารัฐ ย้ำว่า ทุกชีวิตของทหารที่ต้องเสียแขนขาไม่ควรถูกมองว่าเป็น ค่าใช้จ่ายที่เลี่ยงไม่ได้ แต่คือเสียงเตือนที่บ่งบอกถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการปกป้องแผ่นดิน ในกรณี พรรคพลังประชารัฐ และประชาชน เรียกร้องให้ฝ่ายไทยจะยกเลิก MOU 43 และ 44 นั้น เท่าที่เห็น ฝ่ายไทยเราปฏิบัติตาม MOU ดังกล่าวมาโดยตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชา เพิกเฉย ละเมิด MOU จนฝ่ายกองทัพต้องประท้วงกว่า 400 ครั้ง ในเรื่องนี้ประเทศไทยสามารถยกเลิกได้ในทันที และที่มีบางคนกล่าวว่า อาจเป็นการเปิดช่องให้ฝ่ายกัมพูชานำเรื่องยื่นต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) นั้น คนที่พูดว่า ประเทศไทยจะถูกฟ้องร้องใน ICC นั้น ไม่เข้าใจกฏหมาย ICC ดำเนินคดีใน 4 ฐานความผิดซึ่งเป็นอาชญากรรมรุนแรงระหว่างประเทศ และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับ MOU
“ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ประเทศไทยยังมีรัฐบาลอยู่จริงหรือไม่ หากยังปล่อยให้ลูกหลานของเราสูญเสียร่างกายและชีวิตเช่นนี้ต่อไป คำถามนี้จะกลายเป็นคำตอบที่ขมขื่นสำหรับทั้งชาติ” พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวทิ้งท้าย
