“กัณวีร์” หนุนรัฐบาล ประณาม-โต้ “กัมพูชา” ชี้ผู้นำเขมรหาเรื่องพิพาทไทยหวังผลการเมืองภายใน เรียกร้องประชาคมโลกลดระดับความสัมพันธ์ ยัน ปัจจุบันเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว

638

รัฐสภา วันที่ 24 ก.ค. – นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวประณามรัฐบาลกัมพูชา โดยระบุว่า การยั่วยุและปฏิบัติการทางทหารของประเทศกัมพูชาที่ไร้มนุษยธรรม ขัดต่อข้อปฏิบัติ และข้อตกลงระหว่างประเทศ เอาชีวิตประชาชนบริเวณชายแดนเป็นตัวประกัน และเอาชีวิตผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยเป็นเดิมพันเพื่อสนองความกระหายทางการเมืองของผู้นำของประเทศกัมพูชาเท่านั้น

“การที่รัฐบาลไทยใช้มาตรการระดับ 4 ตอบโต้กัมพูชาจากกรณีทหารไทยเหยียบกับระเบิดที่ชายแดน เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วในการตอบโต้การกระทำของกัมพูชาในครั้งนี้ แต่ต้องระมัดระวังกลลวงของกัมพูชา สร้างเงื่อนไขสู่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ UNSC ด้วยครับ” นายกัณวีร์ กล่าว และย้ำว่า การลักลอบฝังทุ่นระเบิดจนเป็นเหตุให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บทั้งที่ช่องบก เมื่อ 16 ก.ค.จนมาถึงวันนี้ที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี เป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ หากกัมพูชานำกับระเบิดใหม่มาวางไว้จริง เป็นการละเมิดอธิปไตยไทย ละเมิดข้อตกลง MOU2543 ละเมิดสนธิสัญญาออตตาวา ที่รัฐบาลไทยตอบโต้และประท้วงไปแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

รวมถึงการเพิ่มมาตรการล่าสุดในวันนี้ จากระดับ 1 ถึง ระดับ 4 ตามมาตรการทางการทูตในสนธิสัญญา  Vienna Convention 1961 ที่ให้อำนาจรัฐประกาศได้ทันที ซึ่งมี 6 มาตรการจากเบาไปหาหนัก คือระดับที่ 1 ด้วยการประท้วง ไม่ว่าจะเป็นการส่งหนังสือหรือแถลงการณ์ประท้วง ระดับที่ 2 การเรียกทูตคู่กรณีเข้าพบ ระดับที่ 3 เรียกทูตกลับประเทศ ซึ่งเป็นการลดระดับทางการทูตและแสดงจุดยืนทางการเมือง และระดับ 4 ขับทูตประเทศคู่กรณี เป็นการไม่ยอมรับสถานะทางการทูต ซึ่งไทยได้ดำเนินการมาถึงระดับ 4 แต่ยังไม่ถึงระดับ 5-6 ที่ประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต ที่ลดจากเอกอัครราชทูตเหลืออุปทูต และตัดความสัมพันธ์ทางการทูต ด้วยการปิดสถานทูต และถอนเจ้าหน้าที่ทั้งหมด

นายกัณวีร์ ระบุว่า อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องระมัดระวังไม่ให้เดินเข้าสู่กลลวงของกัมพูชา เพื่อสร้างเงื่อนไขนำกรณีพิพาทกับไทยไปสู่ UNSC ดังนั้นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนของไทยในเรื่องนี้ และการตอบสนองให้ประชาคมโลกรับทราบโดยเร็วจะทำให้กัมพูชาหมดความชอบธรรมต่อการช่วงชิงปมข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างแน่นอน ที่ผ่านมากัมพูชาสร้างสถานการณ์ยั่วยุทั้งทางสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิต ประวัติศาสตร์ จนถึงการเผชิญหน้าทางการทหาร ทำให้ไทยใช้แผนจักรพงษ์ภูวนาท เปิดปฏิบัติการตอบโต้ทางการทหารอย่างเต็มรูปแบบ เป็นไปตามหลักสากล และการยกระดับจากเบาไปหาหนักตามสถานการณ์ที่ถูกสร้างโดยฝ่ายเดียวของกัมพูชา

“ประชาคมโลกต้องร่วมวิจารณ์พิจารณาลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชาในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งกดดันการกระทำที่ย่ำยีการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในเวทีโลกอย่างไร้มนุษยธรรม ผมมั่นใจว่ารัฐบาลไทยจะดำเนินการทางการทูตอย่างเฉียบคม เพื่อบอกประชาคมโลกถึงการกระทำที่หักล้างสันติภาพโลกเพียงแค่การกระหายการคงอยู่ทางการเมืองของกัมพูชาเท่านั้น” สส.พรรคเป็นธรรมกล่าว

ต่อมานายกัณวีร์ เสนอญัตติด่วนด้วยวาจา ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเสนอต่อรัฐบาล โดยระบุว่าต้องเสนอญัตตินี้เพราะความอ่อนแอในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศ และความมั่นคงของรัฐบาล ขอแสดงความเสียใจให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดนทั้งสองฝั่งและผู้สูญเสีย พร้อมให้กำลังใจพี่น้องข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงในพื้นที่

เขาอภิปรายว่า เมื่อสักครู่ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้โพสต์ข้อความว่า ทำหนังสือไปถึงรักษาการประธานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ให้เข้ามาแทรกแซง และหยุดการปฏิบัติการทางทหารของประเทศไทยที่เข้าไปทำลายประเทศเขา หากการต่างประเทศของไทยเราเข้มแข็ง เราจะมองเห็นว่าจุดสุดท้ายที่เขาต้องการคือการเข้าถึง UNSC เนื่องจากจะมีข้อผูกมัด เพราะ UNSC มี 180 ประเทศเป็นสมาชิก หากมีการพิจารณาประเด็นใด เมื่อมีผลออกมาอย่างไรก็จะต้องยอมรับ รัฐบาลจะทำอย่างไรต่อไป การใช้แนวทางการทูตในการแก้ไขปัญหาจะสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งเป็นความท้าทายของไทยที่จำเป็นจะต้องแสดงความเชื่อมั่นให้กับพลเมืองไทย และประชาคมโลกว่าจะสามารถนำเอาการทูตมาแก้ไขปัญหาได้

“ผมพูดในฐานะที่เป็นคนทำงานในภาวะสงครามมากกว่า 12 ปีใน 8 ประเทศ เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในทั่วโลกมากมาย ประเทศต่าง ๆ จำเป็นจะต้องมีการวางแผนการทูต สงครามไม่ใช่สิ่งที่ปรารถนา สงครามจะต้องเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นในโลกใบนี้  สันติภาพที่ยั่งยืนต่างหากที่จำเป็น เราจะทำอย่างไรให้สันติภาพนำหน้าภาวะสงคราม“ กัณวีร์ กล่าว และแนะนำว่า รัฐบาลจะต้องเตรียมความพร้อมในทุกมิติ เพราะที่ผ่านมาค่อนข้างล่าช้า ไทยมีสนธิสัญญาเวียนนา ซึ่งปัจจุบันไทยดำเนินการไปแล้ว 4 มาตรการ ได้แก่ การประท้วง เรียกทูตมานั่งคุย เรียกทูตเรากลับ ส่งทูตเขากลับไป เหลืออีก 2 มาตรการเท่านั้นที่จะต้องเร่งทำ และพิจารณาให้ดีว่าจะตัดสัมพันธ์ทางการทูตหรือไม่

หากครบ 6 ประการ สนธิสัญญาเวียนนาจะเป็นหลักประกันที่ประเทศไทยได้ดำเนินงานตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ ปัจจุบันกัมพูชาผิดหลักเคารพกฎหมายระหว่างประเทศด้านมนุษยธรรม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ปรับใช้ในช่วงภาวะสงคราม คนที่ทำงานในภาวะสงครามทราบดีว่าปัจจุบันนี้คือ ภาวะสงครามการยิงปืนใหญ่ BM-21 ในจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ การที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 สะท้อนว่านี่คือภาวะสงคราม

นายกัณวีร์ กล่าวว่ากัมพูชาเลือกเป็นพื้นที่พลเรือน จึงเชื่อมั่นว่า กต.จะต้องประท้วง และทำงานให้มากกว่าประเทศกัมพูชา ต้องดึงประชาคมระหว่างประเทศมาเข้าข้างไทยให้ได้ เพราะการปฏิบัติการของกัมพูชาครั้งนี้ทำให้กฎหมายระหว่างประเทศทางด้านมนุษยธรรมแตกสลาย บั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในประชาคมโลก ปัจจุบันไทยมีแผนงานทางการทหารเรียบร้อยแล้ว คือแผนจักรพงศ์ภูวนาถ ส่วนแผนภายในประเทศคือ แผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแผนนี้จำเป็นจะต้องเข้มแข็ง และหากเรามีแผนการต่างประเทศ แผนชายแดน และแผนพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง จะทำให้เรามีแผนการจัดการอย่างครอบคลุม 

“ผมยังยึดมั่นว่าสงครามไม่ใช่คำตอบ ผมเป็นคนหนึ่งที่ต่อต้านสงคราม มันจะต้องไม่เกิดขึ้น เราต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายด้านมนุษยธรรม” สส.พรรคเป็นธรรม กล่าว พร้อม เสนอให้ฝ่ายบริหารพิจารณาแผนงานในลำดับต่อไป ทั้งแผนเฉพาะหน้า แผนระยะกลาง ระยะยาว ไม่ใช่แค่การตอบโต้ตอบสนองในปัจจุบัน แต่จำเป็นจะต้องมองต่อไปในอนาคต การยั่วยุของกัมพูชาจะไม่ยุติลง ถ้าเราตีให้ออกว่าเหตุผลของเขาคืออะไร แค่ต้องการการเมืองภายในของเขา ซึ่งเราไม่เกี่ยวข้อง

เราจำเป็นจะต้องวางแผนในระยะยาว หากการเมืองภายในกัมพูชาเสร็จสิ้นแล้ว มีการเลือกตั้งฮุนมาเนต เป็นนายกฯ อีกครั้ง เราจะทำอย่างไร การสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาจะเป็นรูปแบบใด รัฐบาลชุดนี้ที่ไม่ใช่แค่กระทรวงการต่างประเทศ จะต้องรวมทุกกระทรวง ทบวง กรม เข้ามาพิจารณาวางแผนให้ครอบคลุม