‘กัณวีร์’จี้ รัฐบาล ค้านเมียนมา-รัสเซีย สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทวาย ชี้กระทบไทยหนักแน่

858

กรุงเทพฯ วันที่ 11 พ.ค. นายกัณวีร์ สืบแสง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเป็นธรรม กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลทหารเมียนมาอนุญาตให้รัสเซียสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ 2 แห่ง ขนาด 110 เมกะวัตต์ ว่าประเทศไทยจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง และเต็มที่ รัฐบาลไทยจะอยู่นิ่งไม่ได้เด็ดขาด ซึ่งโครงการนิวเคลียร์ของรัสเซียในเมียนมานั้นมีข่าวมานาน แต่เพิ่งปรากฏชัดเจนในครั้งนี้เมื่อ กองกำลังชาติพันธุ์กระเหรี่ยง KNU เพิ่งส่งจดหมายเปิดผนึก เตือนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะไทยว่า กองพลที่ 4 KNU จะเข้าทำการโจมตีฐานทหารเมียนมาในเขตทวาย ภูมิภาคตะนาวศรีที่ติดกับประเทศไทย เนื่องจากทหารเมียนมาได้มอบสัมปทานให้รัสเซียมาทำโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ และอีกจุดหนึ่งที่จะทำโรงไฟฟ้าคือเขตพะโค

“ผมยังจำได้สมัยยังรับราชการ ตอนนั้นทำเรื่องเมียนมา มีเรื่องหนึ่งเข้ามาให้วิเคราะห์ คือเรื่องแร่ยูเรเนียมในพื้นที่ชายแดนของเมียนมาที่ติดกับฝั่งไทย ผมยังจำความได้ว่า ผมเริ่มหาข้อมูลเชิงลึก แล้วพบว่าเกิดความร่วมมือระหว่างรัฐบาลรัสเซียกับทหารเมียนมาในการนำนักวิทยาศาสตร์ทหารเมียนมาไปศึกษาด้านนิวเคลียร์ Nuclear Studies and Research ที่รัสเซีย เพื่อทำการแลกเปลี่ยนระหว่างการศึกษาวิจัย และการเข้ามาสำรวจหาแร่ยูเรเนียมในเมียนมา ลองคิดตามนะครับ เรื่องความมั่นคงนิวเคลียร์ที่อยู่ติดกับไทย รัสเซียจะนำสิ่งที่เป็นอาวุธอำนาจทำลายล้างสูง (Weapon of Mass Destruction – WMD) เข้ามาวางที่ประตูของไทย ถึงแม้เขาจะบอกว่าจะเข้ามาสร้างโรงไฟฟ้า เฉยๆ และมันก็เป็นพลังงานสะอาดซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยมากๆ”

นายกัณวีร์ ระบุว่า ขอให้มองโดยใช้มุมมองการต่างประเทศด้านความมั่นคง และช่วยมองการเคลื่อนย้ายฐานผลิต ไม่ว่าจะเป็นโรงไฟฟ้า หรืออาวุธที่จะมาวางไว้ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แม้จะทราบดีว่าประเทศแถบนี้ยังขาดเทคโนโลยีที่จะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่รัสเซียมีศักยภาพ ขณะที่เมียนมามีวัตถุดิบคือยูเรเนียม ทั้ง 2 ประเทศมีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันอย่างน้อยก็มากกว่า 20 ปี จากที่เคยวิเคราะห์เรื่องนี้เมื่อปี 2546 เมื่อครั้งยังรับราชการ ซึ่งถึงแม้ในที่สุดจะสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เพียงอย่างเดียว แต่ใครสามารถให้ความมั่นใจได้ว่าจะมีมาตรฐานเพียงพอกับการเก็บกักรักษามิให้มีสารเล็ดลอดออกมาสร้างผลกระทบต่อภายนอกได้ เชื่อว่าหากรัสเซียมาทำที่ประเทศเมียนมา ความรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยทั้งหมดต้องตกมาอยู่ที่รัฐบาลทหารเมียนมา ซึ่งทหารเมียนมามีศักยภาพเพียงพอมากเพียงใดไหน และใครจะรับผิดชอบหากเกิดการรั่วไหลเข้ามาในแผ่นดินไทย

สส.เป็นธรรม กล่าวว่า รอยเลื่อนที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ผ่านมา อยู่ที่ใจกลางเมียนมา สั่นจากเขตสะกายและมัณฑะเลย์ ใจกลางเมียนมาถึงใจกลางประเทศไทย ทำให้ตึกที่กำลังสร้างใน กทม. ถล่มได้ บ้านเมืองเสียหายนับพัน และหากมันเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ขึ้นอีก ซึ่งจะเกิดแน่นอน โดยที่มีโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ขนาด 110 เมกะวัตต์ ทั้งพะโค และทวาย อะไรจะเกิดขึ้น

”หากรัสเซียจะมาใช้ที่พะโคและทวายพัฒนาจากโรงงานไฟฟ้าเป็นโรงงานผลิตนิวเคลียร์ที่ใช้ธาตุยูเรเนียมในเมียนมาต่อไป กระแสความมั่นคงทางทหารและนิวเคลียร์โลกจะถูกย้ายจุดมาเพ่งเล็งที่ภูมิภาคเรา และหากเมียนมาไม่สามารถสร้างความมั่นคงทางการเมืองได้ในเร็ววัน และเผด็จการยังคงครองอำนาจอยู่เหมือนปัจจุบัน รับรองครับ ไทยต้องมีปัญหาทางด้านการทหาร และต่อไปหากสงครามใดๆ ในโลกนี้วิบัติขึ้นและเกี่ยวข้องกับรัสเซีย เมียนมาจะเป็นฐานขุมพลังในการปะทะกันในสงครามระหว่างประเทศด้านนิวเคลียร์ และไทยคงไม่รอดจากผลกระทบจากสงครามนิวเคลียร์เป็นแน่“ นายกัณวีร์ กล่าว

เขากล่าวว่า เมื่อ 20 ปี ก่อนยังจำสีหน้าของ เจ้าหน้าที่การข่าวของออสเตรเลียที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ขณะที่มาบอกเรื่องยูเรเนียมในเมียนมาและความร่วมมือระหว่างเมียนมากับรัสเซียได้เป็นอย่างดี เขาให้ความสำคัญกับประเด็นนี้อย่างมาก และทำรายงานตรงไปที่รัฐบาลในแคนเบอร่า เพราะมันเป็นเรื่องความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย และเขายังตามติดเรื่องนี้อย่างไม่ปล่อย แม้ปัจจุบันจะเลื่อนเป็นผู้บริหารระดับสูงแล้วก็ตาม

”ครั้งนี้คงเป็นของจริง ประสบผลตามความมุ่งหมายของความร่วมมือมากกว่า 2 ทศวรรษ มิน อ่อง หล่าย เดินทางไปรัสเซียอยู่บ่อยๆ เรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่พูดคุยเพื่อการแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน เครื่องบินรบมิโคยัน หรือ มิก-29 ของรัสเซียที่บินว่อนทิ้งระเบิดรอบประเทศเมียนมา ก็เป็นหนึ่งในดีลการเมืองและความมั่นคงระหว่างประเทศนี้อย่างแน่นอน“

นายกัณวีร์ กล่าวว่า ตนขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยมีจุดยืนไม่เห็นด้วยต่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ในเมียนมา เนื่องจากเหตุผลความกังวลอันใหญ่หลวงต่อผลกระทบของสารเคมีที่จะรั่วไหลออกมาทั้งจากความผิดพลาดโดยมนุษย์และจากภัยพิบัติที่มันจะเกิดขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อคนไทยและประเทศไทยโดยตรง รวมทั้งเหตุผลความมั่นคงในภูมิภาคที่ไทยจะเสียเปรียบต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ขอให้รัฐบาลกล้าแสดงจุดยืนทางการทูตในฐานะที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของโลกที่ได้รับผลกระทบจากความสัมพันธ์และความร่วมมือของประเทศอื่นๆ จะต้องกล้าพูดและกล้าแสดงออกในเวทีโลกเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ มิเช่นนั้นไทยก็จะเป็นเพียงแค่ลูกไล่ในเวทีโลกต่อไป

ทั้งนี้ แถลงการณ์ต่อชาวไทยซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับพรมแดนไทย-เมียนมา ของสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ระบุว่ากองพลน้อยที่ 4 ของ KNU ซึ่งปฏิบัติการในเขตมะริด/ทวายจำเป็นต้องมีปฏิบัติการทางทหารกับสภาบริหารแห่งรัฐ (SAC) เพื่อปลดแอกประชาชน ช่วยให้สามารถกำหนดชะตากรรมตนเองได้ และรอดพ้นจากการทารุณกรรมของกองทัพเมียนมา โดย KNU มีความกังวลอย่างยิ่งต่อความมั่นคงปลอดภัยและสวัสดิภาพของประชาชนกะเหรี่ยง รวมทั้งประชาชนไทย สืบเนื่องจากรายงานข่าวเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ว่า รัฐบาลทหารเมียนมาจะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงาน นิวเคลียร์ขนาด 110 เมกะวัตต์ โดยใช้เทคโนโลยีจากรัสเซีย ในปัจจุบัน มีการเสนอพื้นที่ก่อสร้างสองแห่ง รวมทั้งพื้นที่ที่อยู่ตอนกลางของภาคพะโค และเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายที่เมืองทวาย ภาคตะนาวศรี ติดกับ พรมแดนประเทศไทย

KNU จึงประสงค์จะแจ้งให้สาธารณชนไทยทราบว่า เรากำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงผลกระทบและผลลัพธ์ที่ อาจเกิดขึ้นจากความตึงเครียดทางทหาร ระหว่างทหารของเรากับสภาบริหารแห่งรัฐ และเราได้ดำเนินการ ทั้งปวงเพื่อที่จะลดผลกระทบดังกล่าวต่อสาธารณชนในไทย และยืนยันจุดยืนที่จะยึดมั่นหลักการความสัมพันธ์อย่างสงบและความร่วมมือกับประเทศไทยไปตลอดกาลและ หวังว่าประชาชนคนไทยจะเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น