ที่สวิตเซอร์แลนด์ วันที่ 5 พฤษภาคม เวลา 13.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และคณะรวม 19 คน เดินทางไปศึกษาดูงาน ณ สถาบัน Swiss Federal Institute of Technology (ETH) ด้านการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon Emission) และการใช้พลังงานหมุนเวียน โดยมีดร.คริสเตียน ชาฟเนอร์ (Dr. Christian Schaffner) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์พลังงาน (Energy Science Center – ESC) กล่าวต้อนรับคณะ โดยระบุว่ายินดีที่คณะได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ศูนย์วิทยาศาสตร์พลังงานก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 2005 เพื่อส่งเสริมการวิจัยและการศึกษาด้านพลังงาน โดยมีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาระบบพลังงานที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยรวบรวมงานวิจัยจากหลายภาควิชา เช่น วิศวกรรมศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ และสถาปัตยกรรม เพื่อศึกษาปัญหาพลังงานในมิติต่าง ๆ ปัจจุบันมีผู้บริหาร จำนวน 13 คน คณาจารย์และนักวิทยาศาสตร์อาวุโส จำนวน 52 คน จาก 9 สาขาวิชา
นายพิเชษฐ์ ได้กล่าวขอบคุณผู้อำนวยการศูนย์ฯ และกล่าวว่าการเดินทางเยือนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาดูงานด้านการขับเคลื่อนสู่รัฐสภาสีเขียว ซึ่งได้เลือกสถานที่ดูงานที่สมาพันธรัฐสวิส เนื่องจากเป็นประเทศที่โดดเด่นด้านการใช้พลังงานหมุนเวียน และมีการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมที่ดี
จากนั้นผู้แทนของสถาบัน ETH ได้บรรยาสรุปให้คณะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย ว่า สมาพันธรัฐสวิส มีการใช้พลังงานหลากหลายประเภททั้งจากพลังงานน้ำ พลังงานนิวเคลียร์ และพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ โดยจะมุ่งเน้นพลังงานสะอาดและพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก เนื่องจากมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและมีแผนที่จะยกเลิกการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในระยะยาว และมาให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาด โดยการผลิตไฟฟ้าของสมาพันธรัฐสวิสมาจากแหล่งต่าง ๆ ดังนี้ 1. พลังงานน้ำ (Hydropower) เป็นแหล่งพลังงานหลักของประเทศ คิดเป็นประมาณร้อยละ 55–60 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด โดยประเทศมีภูมิประเทศภูเขาและแม่น้ำจำนวนมากที่เหมาะกับการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ 2. พลังงานนิวเคลียร์ (Nuclear): คิดเป็นประมาณร้อยละ 30 – 35 ของการผลิตไฟฟ้า แต่รัฐบาลได้วางแผนที่จะยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในระยะยาว โดยไม่สร้างโรงงานใหม่

ผู้แทนของสถาบัน ETH กล่าวว่า 3. พลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และชีวมวล กำลังเติบโตแต่ยังคิดเป็นสัดส่วนไม่มาก (ประมาณร้อยละ 5 – 10) ทั้งนี้ สวิตเซอร์แลนด์มีการนำเข้าพลังงาน เช่น ก๊าซธรรมชาติ และไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านบางส่วนเพื่อเสริมความมั่นคง
นอกจากนี้ ทางศูนย์ฯ ได้มีการวางยุทธศาสตร์ด้านพลังงาน “Energy Strategy 2050” เพื่อมุ่งเน้นลดการพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์และเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน รวมถึงส่งเสริมภาคครัวเรือนติดตั้งโซลาร์เซลล์ในบ้านเรือน และระบบ Smart Grid รวมถึง เสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน
ปัจจุบัน สมาพันธรัฐสวิสมีระบบจัดการพลังงานที่ดี และสามารถบริหารจัดการความต้องการและแหล่งจ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการลงทุนในระบบกักเก็บพลังงาน และวางเป้าหมายเป็น “Net Zero” ภายในปี 2050 โดยมุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ มีระบบจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) และมีการพัฒนา Smart Grid ซึ่งเป็นระบบควบคุมพลังงานแบบดิจิทัล ปัจจุบัน รัฐบาลใช้นโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยการออกกฎหมายในการจัดเก็บภาษี Carbon Tax เพื่อจัดเก็บภาษีจากกิจการหรืออุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉพาะจากธุรกิจสายการบินซึ่งมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุด

อย่างไรก็ตาม มาตรการการจัดเก็บภาษียังไม่สามารถส่งผลให้มีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงเท่าที่ควร รัฐบาลจึงหันมาใช้นโยบายให้การสนับสนุนเงินทุนในการทำวิจัยเพื่อคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่จะมาลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ตลอดจนสนับสนุนให้ภาคครัวเรือนมีการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ อาทิ การให้ความสำคัญกับวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านเพื่อลดโลกร้อน ในส่วนการพัฒนาพลังงานลม แต่ยังไม่ค่อยคืบหน้า เนื่องจากมีการต่อต้านจากภาคประชาสังคมว่าการทำกังหันลมอาจจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่า ภายหลังการรับฟังบรรยายสิ้นสุด รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง และคณะ ได้เยี่ยมชมภายในสถาบัน Swiss Federal Institute of Technology (ETH) ต่อไป

