ประชาธิปไตยไทย ยังห่างชั้นโสมขาว เหตุนักการเมือง มัวเสพติดอำนาจ

568

       เหตุการณ์นายยุน ซอกยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ประกาศใช้กฎอัยการศึก โดยอ้างภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ ต่อมาสมาชิกรัฐสภาทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ฝ่าวงล้อมทหารที่ยกกำลังมาปิดล้อมอาคารรัฐสภาในช่วงกลางดึก เปิดประชุมลงมติให้ประกาศกฎอัยการศึกเป็นโมฆะ  


    หลังจากนั้นประธานาธิบดีถอนประกาศกฎอัยการศึก ทหารถอนกำลังกลับกองทัพ ตามด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แสดงสปิริตยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งพร้อมออกแถลงการณ์ขอโทษประชาชนชาวเกาหลีใต้  สถานการณ์ยุติด้วยดีไร้การนองเลือด ส่งผลนักการเมืองไทยหลายคนแสดงความชื่นชมในสปิริตของสมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้ที่ใช้กลไกสภาฯลงมติให้ยกเลิกกฎอัยการศึก และประชาชนที่รวมตัวชุมนุมโดยสงบ ปกป้องระบอบประชาธิปไตยได้สำเร็จ

    ขณะเดียวกันมีนักวิชาการหลายสำนักรวมถึง สส.บางคน ต่างชื่นชมบทบาทของ สส.เกาหลีใต้ที่กล้าสู้กับอำนาจเผด็จการ พร้อมเปรียบเปรยกับ สส.หรือนักการเมืองไทยว่า ถ้าเจอประกาศกฎอัยการศึก ต่างเก็บกระเป๋าเผ่นหนีไปตั้งหลักแล้วค่อยกลับมาเป็นนั่งร้านให้เผด็จครองอำนาจแบบยาวๆ สะท้อนให้เห็นว่าพัฒนาการทางการเมืองและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยกับเกาหลีใต้นั้นต่างกันลิบลับ

    หากย้อนอดีตไปเมื่อกว่า 44 ปีที่ผ่านมาระบอบประชาธิปไตยของไทยกับเกาหลีใต้ไม่ได้แตกต่างกันเลย เพราะต่างจมปลักอยู่วงจรอำนาจของเผด็จทหาร ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจ ต่อมาเมื่อ 44 ปีที่ผ่านมามีการลุกฮือของประชาชนชาวเกาหลีใต้โค่นล้มอำนาจเผด็จการลงอย่างราบคาบ ประชาธิปไตยเบ่งบานอย่างเต็มที่ ผู้นำเกาหลีใต้ที่มาจากการเลือกตั้งวางแผนพัฒนาประเทศในทุกด้านกลายเป็นประเทศแถวหน้าของเอเซีย

    ซึ่งเหตุการณ์ประกาศกฎอัยการศึก เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปี แต่ด้วยสปิริตบวกจิตสำนึกที่ดีของนักการเมืองและจิตสำนึกรักประชาธิปไตยของประชาชน สามารถสู้กลับให้ประธานาธิบดีถอนคำสั่งเผด็จออกไปได้  แต่เมืองไทยแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ปี 2475หรือจะนับตั้งแต่ปี 2567 ย้อนไป 44 ปี เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ระบอบประชาธิปไตยยังย่ำอยู่กับที่จมอยู่ในวงจรอุบาทว์ โดยนักการเมืองไทยส่วนใหญ่ยินดีที่จะเดินในวงจรนี้เพราะมีอำนาจและผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทน


     หากมีการตั้งคำถามว่าไทยสามารถพัฒนาให้ระบอบประชาธิปไตยแข็งแกร่งแบบเกาหลีใต้ได้ไหม คงตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่าทำได้ ถ้านักการเมืองไทยไม่ว่าจะเป็น สส.หรือ สว.มองผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ยึดหลักการพูดจริง ทำจริง มีสัจจะ แต่ที่ผ่านมานักการเมืองไทยละเลยสิ่งดังกล่าวมาโดยตลอด

    ถ้ามองย้อนถึงบทบาทพรรคการเมืองในอดีต อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่คนทั่วไปมองว่าเป็นพรรคมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยเต็มเปี่ยม สมาชิกพรรคหรือแกนนำพรรคถึงขั้นอวดว่าเป็นสถาบันการเมือง แบบไม่รู้สึกขวยเขินแต่อย่างใด ทั้งที่พฤติกรรมของสมาชิกและแกนนำพรรคส่วนใหญ่มักจะเออออไปกับเผด็จการทหารอยู่บ่อยครั้ง เพียงเพื่อได้ครองอำนาจ แม้จะเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดก็ตาม 

    ยิ่งในช่วงเผด็จการทหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ครองเมือง ให้คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ นำโดยนายมีชัย ฤชุพันธุ์ วางค่ายกลให้เผด็จการสืบทอดอำนาจแบบยาวๆ  จึงบัญญัติให้ สว.แต่งตั้ง 250 คนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ถึง 2 สมัย จน นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนวคิดให้พลพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคการเมืองอื่นผนึกกำลังกันให้เกิน 375 เสียง โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยหรือพรรคการเมืองที่ไม่ใช่ร่างทรงเผด็จ เพื่อสกัดฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจ ปรากฏว่ามีเสียงสนับสนุนทั้งจากนักวิชาการ สื่อหลายสำนัก รวมถึงประชาชนที่ชังเผด็จการทหาร หรือแม้แต่ประชาชนที่เคยสนับสนุนม็อบให้เผด็จทหารยึดอำนาจ

    แต่แกนนำพรรคอย่างประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนาและพรรคที่มิใช่ร่างทรงเผด็จกลับละเลยอาจจะเป็นเพราะอำนาจสามารถบันดาลได้ทุกอย่าง แม้แต่นายชวน หลีกภัย ผู้ยึดมั่นหลักการประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา ยังยินดีนั่งประมุขฝ่ายนิติบัญญัติให้อีกต่างหาก ยิ่งมาถึงยุคปัจจุบันความคาดหวังที่จะเห็นระบบประชาธิปไตยเข้มแข็ง เพื่อไว้สู้กลับเมื่อมีเหตุรัฐประหาร แทบจะไม่เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์เลย เพราะการเมืองอยู่ในภาวะมิตรกลายเป็นศัตรู และศัตรูที่ชิงชังกันถึงขั้นผีไม่เผาเงาไม่เหยียบกลายมาเป็นมิตร

    แม้แต่พรรคประชาชนที่คนรุ่นใหม่ต่างตั้งความหวังให้เป็นแกนเพื่อการเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าตามที่หาเสียงไว้ เจอการคุมกำเนิดทุกทาง แถมสมาชิกพรรคบางคนเล่นการเมืองแบบต้นตรงปรายคด บางคนวิจารณ์รัฐบาลแบบนักการเมืองน้ำเน่าเพียงเพื่อเรียกยอดไลค์ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วประชาชนที่เทคะแนนเสียงเลือกชนะอันดับ 1 อยากเห็นการเมืองที่สร้างสรรค์ ถ้าวิพากษ์วิจารณ์แล้วควรเสนอแนะทางออกไปด้วย

    ดังนั้นเมื่อมองบริบทโดยรวมแล้วคงไม่แปลกใจว่าทำไมระบอบประชาธิปไตยของไทยยังห่างชั้นกับเกาหลีใต้แบบไม่เห็นฝุ่น ยิ่งนักการเมืองยอมเป็นแค่เบี้ยในกระดานอำนาจด้วยแล้วอย่าฝันไปเทียบชั้นโสมขาวเลย !!!