มีคำคำหนึ่งซึ่งสะดุดหูคนฟัง จำกันได้แม่นกว่าเนื้อหาหรือนโยบายที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี (ที่ไม่ไดัตั้งใจเลี้ยงหลาน )แต่คันไม้คันมือในนามผู้ช่วยหาเสียง การปราศรัยในรอบ 18 ปี บนเวทีที่จังหวัดอุดรธานี ที่เจ้าตัวประกาศชัดว่า “ผมกลับมาแล้ว” ขอตั้งตำแหน่ง “ส.ท.ร.” ให้แก่ตัวเอง
ทักษิณ คนเดียวกลับมีความหมายมากกว่า “นายกฯ” และ ครม. ทั้งคณะตลอดจนข้าราชการระดับสูง โฆษกรัฐบาล เพราะกาประกาศนโยบายตัดหน้ารัฐบาลก็ดี (แต่มาแก้ลำว่าฟังลูกสาวมา) กลายเป็นว่าจากจะช่วย อาจจถสร้างปัญหาให้ลูกสาวที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการเป็นหัวหน้ารัฐบาล โดยบิดา ส.ท.ร.สมตามตำแหน่งที่ตั้งให้ตัวเอง กลับมาประกาศชัดในที่สาธารณะต่อคนเป็นหมื่น ๆ มากกว่าการแอบเรียกหัวหน้าพรรคการเมืองไปกินมาม่าที่บ้านจันทร์ส่องหล้าแบบเงียบ ๆ กลับเสียบตัวเองประจานว่า “ฉันนี่แหละ” แน่กว่าใคร ?
สังเกตน้ำเสียงแลเนื้อหาที่มีการพาดพิงพรรคของคนรุ่นใหม่ ว่าไปแตะทำไมโครงสร้าง และยังพยายาม เผยไต๋การบริหารในระดับนโยบายรัฐบาล จนกลายเป็นดวงอาทิตย์ที่ศูนย์รวมแห่งอำนาจ อำนาจอันหอมหวน ที่ตัวเองเคยกุมได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในช่วง2ทศวรรษก่อน แต่อย่างไรเสียก็รู้สึกเสียดายที่มุกนี้เริ่มเสื่อมมนตร์ขลังแล้ว เพราะตอนนี้ประชาชนมีความตื่นรู้ ยิ่งกว่าคนตื่นธรรม เพราะหลักฐาน ทาง digital จะเป็นประวัติศาสตร์ไม่อาจลบไปได้ ใครพูดอะไรไว้ที่ไหนคำพูดจะหลอกหลอน เป็นนายติดตามคนประกาศไว้ตลอดชีวิต ไม่ต้องย้อนไปไกลเป็น10-20ปี เอาแค่ปีที่แล้ว นายกฯคนปัจจุบัน รวมถึงคุณพ่อ พูดอะไรไว้บ้าง ใครจะไม่จับมือกับใคร ใครเคยวิพากษ์3ป.เอาเป็นเอาตาย วันนี้กลายเป็นเสมือนคนที่กินยาแล้วลืมเขย่าขวด ไม่ต้องนึกถึงเรื่องการเมืองหรอก เอาแค่ว่าประกาศพอแล้วจะกลับมาเลี้ยงหลาน ได้เลี้ยงอย่างเต็มที่สมใจหรือยังก็ไม่ทราบ ? เพราะ แต่ละวันมีแต่ข่าวที่ปรากฎตามหน้าสื่อว่าเรียกคนนั้นคนนี้ไปคุยที่บ้าน แถมลงทุนหอบสังขารไปขึ้นเวทีหาเสียง ไอที่ว่าผมพอแล้ว อายุมากแล้ว สุขภาพอย่างนั้นอย่างนี้ สุดท้ายคือคือมีอะไรที่จริงบ้าง กลางปียังใส่เฝือกคอ หลักฐานทางดิจิทัลในปีก่อน ๆ ก็ต่อยมวย ว่ายน้ำ แข็งแรงกว่าคนที่อายุใกล้เคียงกันด้วยซ้ำ
แต่กระนั้นอุดรธานีเมืองหลวงคนเสื้อแดงยังคงได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอยู่ แต่หากไปมองดูจากคะแนนดิบเรียกว่าไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะเลย ตรงกันข้ามฝ่ายคู่แข่งกับมีความก้าวกระโดพตามทันอย่างแจ่มชัดในอนาคต ในภายภาคหน้าคงต้องจับตาดูว่าจะมีใครมาหายใจรดต้นคอหรือเปล่า
อย่างไรก็ตามวันนี้ประชาชนคงคงอยากเห็นการเมืองที่มี “ความจริงใจ” เป็นองค์ประกอบ ไม่ใช่ทำตัวพูดเก่ง ขยันใส่สำนวน แซะคน พูดไปเรื่อยไร้หลัก และไร้ความจริงใจ ถ้าไม่ระวังในเรื่องนี้ เครดิตที่ตัวเองมีคงไม่ต่างจากพวกทนายหิวแสง หรือพวกนักการเมืองไร้ราคาด้วยการหาเรื่องคน เก่งทุกเรื่อง เสือกทุกเรื่อง(ตามที่ท่านพูดเอง) แต่ถ้าจริงใจทุกเรื่อง ตั้งใจในงาน มีสมการคือประชาชน คนเขาถึงจะศรัทธา และกลับมาเชื่อมั่น วันนี้ท่านต้องยอมรับว่าความพูดและพฤติกรรม สทร.ของท่านมันไม่ได้ผลเหมือนอดีตแล้ว
และการเล่นนอกสนามนำโดยนายทักษิณ ในการเดินสายช่วยผู้สมัครระดับท้องถิ่นหาเสียงที่ จ.อุดรธานี และการประกาศจะชนะการเลือกตั้ง 200 เสียง ในการเลือกตั้งปี 2570 ถือเป็นการส่งสัญญาณสำคัญ ว่าพรรคเพื่อไทย(ที่เขาไม่ได้ครอบงำ) จะยังอยู่ เพื่อเป็นพรรคการเมืองพรรคใหญ่ในการเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลครั้งหน้า และส่งสัญญาณพูดบนเวทีชัดพาดพิงถึงพวกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อย่า “รื้อโครงสร้างมากไป” หรือไปกระทบพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ว่า ต้องรีบบินกลับมา จากสหรัฐอเมริกา”เพราะกลัวแพ้” แต่ก็ยังไม่วายตอบเรื่องน้องสาวจะกลับมาบ้านมาสงกรานต์ปีหน้า แบบนี้ประชาชนก็สงสัยว่าตกลงมาแก้ปัญหาปากท้อง หรือ ท่านกลับมาแก้ปัญหาพวกพ้องและน้องท่านเองครับ!