สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดเป็นองค์กรรัฐเบอร์ต้นๆที่มีความฉับไวในการลงโทษบุคลากรในสังกัดที่ประพฤตินอกรีต บ่อยครั้งที่พบความผิดสั่งสำรองราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนในทันที บางครั้งใช้เวลาไม่ถึง 15 วัน สั่งให้ออกจากราชการแล้ว
ล่าสุด พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรง ผู้ช่วยผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วยผบ.ตร.)ปฏิบัติราชการแทนผบ.ตร.มีคำสั่งให้ตำรวจ 9 นาย ยศ พ.ต.ท.-จ.ส.ต.ออกจากราชการไว้ก่อน ฐานถูกกล่าวหาทำผิดวินัยร้ายแรง มีพฤติกรรมเรียกรับเงินนักธุรกิจชาวจีน เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดีและยังถูกแจ้งข้อหาเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดๆ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 16 ตุลาคมที่ผ่านมา
ถือว่าสอดรับกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร.ทีได้ให้ตำรวจทั่วประเทศยึดปฏิบัติ 15 ข้อ โดยเฉพาะข้อที่ 3 ระบุว่า สร้างขวัญกำลังใจให้รางวัลแก่ตำรวจน้ำดีและพิจารณาลงโทษตำรวจที่ไม่ดีอย่างเด็ดขาด
การจัดหนักของ พล.ต.ท.ธนายุตม์ เป็นตัวอย่างการลงลงโทษที่เด็ดขาด สื่อให้เห็นว่าสำนักสีกากีภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไม่บริหารจัดการแบบลูบหน้าปะจมูก เหมือนบางยุคที่ผ่านมา แม้คำสั่งลงโทษออกไปแล้วยังสามารถเรียกคืนมาแก้ เพื่อช่วยเหลือกันเพราะเป็นเด็กในคาถาและบางกรณีจ่ายปัจจัยแบบจัดหนัก
ในจำนวน 15 ข้อที่ออกมาครอบคลุมการทำงานในทุกด้านของตำรวจ ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เป็นภัยคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ อาทิ ยาเสพติด หรืออาชญากรรมทางทางเทคโนโลยีที่ประชาชนทุกระดับชั้นเผชิญอยู่โดยเฉพาะพวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือแชร์ลูกโซในรูปแบบต่างๆ
ที่สำคัญคือ จัดสวัสดิการ สิทธิประโยชน์ที่ตำรวจพึงมีอย่างเต็มที่ รวมถึงการแก้ปัญหาหนี้สินของตำรวจ การสร้างอาชีพเสริมรายได้โดยสุจริต โดยไม่กระทบกับงานประจำ ถือว่าเป็นหัวใจที่ช่วยให้กำลังพลขับเคลื่อนงานรับใช้ประชาชนอย่างเต็มที่
นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เน้นความร่วมมือในการปฏิบัติราชการแบ่งเป็น 6 ข้อ อาทิ การสั่งให้ไปช่วยราชการต้องยึดกฎหมาย แลละรักษาความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ เป็นต้น แต่ที่ยากให้เป็นจริงมากสุดคือ ข้อ 6 ผู้บัญชาการ(ผบช.)ผู้บังคับการ(ผบก.) จะต้องเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วยตัวเอง ให้เป็นที่พึ่งพิงของประชาชนอย่างแท้จริง ถือว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ มองเห็นปัญหาการทำงานที่หย่อนยานของตำรวจ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการแจ้งเกิดของบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ สาเหตุใหญ่มาจากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมไม่สามารถที่จะพึ่งพิงตำรวจได้ เว้นแต่เหยื่อที่มีเส้นสายหรือมีสัมพันธ์ที่ดีกับบิ๊กตำรวจ บิ๊กข้าราชการ บิ๊กการเมือง และผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆถึงจะได้รับการบริการที่ดีจากตำรวจ
จึงไม่แปลกในช่วง 8-9 ปีที่ผ่านมาอินฟลูเอนเซอร์ต่างแจ้งเกิดกันอย่างล้นหลาม เพราะองค์กรตำรวจอยู่ในภาวะที่ตกต่ำ ผบ.ตร.บางคนไร้ซึ่งภาวะผู้นำ เกาะเก้าอี้เพียงเพื่อแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง ตำรวจระดับปฏิบัติการขาดขวัญกำลังใจ เลือกทำงานเฉพาะที่เป็นข่าวดังหรืออินฟลูเอนเซอร์กระตุ้นเท่านั้น กลายเป็นช่องว่างให้อินฟลูเอ็นเซอร์บางกลุ่มบางคนนำไปแสวงหาประโยชน์เข้ากระเป๋า กลายเป็นข่าวฉาวในเวลานี้หลายกรณี
ดังนั้นไอเดียข้อ 6 ของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ถือว่ามาถูกทางที่ให้ ผบช.และผบก. เป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะที่ผ่านมาเมื่ออินฟลูเอนเซอร์ พาเหยื่อเข้าร้องเรียนทวงถามความคืบหน้าคดีความ ผบช.หรือผบก.ต้องประสานสั่งการให้ตำรวจในสังกัดต้องเร่งดำเนินการอยู่แล้ว
เมื่อ ผบช.และ ผบก. มาเป็นอินฟลูเอนเซอร์เสียเองเท่ากับลดขั้นตอนการทำงาน ทำให้ช่วยเหลือเหยื่อที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้รวดเร็วขึ้น ช่วยลดบทบาทพวกอินฟลูเอนเซอร์ได้เป็นอย่างดีและปิดช่องว่างไม่ให้อินฟลูเอ็นเซอร์บางคนบางกลุ่มนำไปหาประโยชน์จากเหยื่อและผู้ถูกกล่าวหา แถมช่วยลดความกร่างไปโดยปริยายด้วย เพราะข้าราชการต่างระอากับความกร่างของพวกนี้เต็มทนแล้ว
ถ้า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ผลักดันไอเดียนี้เกิดได้จริง อยากให้ขยายลงไปถึงระดับหัวโรงพักด้วย เพราะหัวหน้าโรงพักมีอำนาจบริหารจัดการเต็มที่อยู่แล้ว ถ้าจะให้เห็นผลโดยเร็วจังหวะนี้น่าจะดีที่สุด เพราะอยู่ในช่วงที่กำลังพิจารณาแต่งตั้งโยกย้าย เชื่อว่าตำรวจทุกนายต่างเร่งสร้างผลงาน ปิดจุดอ่อนของตัวเองเพื่อก้าวสู่ตำแหน่งที่ต้องการ
ดังนั้นวิสัยทัศน์ที่ว่า”เป็นตำรวจมืออาชีพ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใสเพื่อให้เกิดความผ่าสุกแก่ประชาชน”จะบรรลุเป้าหมายเร็วเกินคาดแน่นอน !!!