วันที่ 28 ตุลาคม 2567 เวลา 10.00น. ศาลจังหวัดนราธิวาสอ่านคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ อ 11516/2567 ระหว่าง นางสาวฟาดีฮะห์ ปะจูกูเล็ง ที่ 1 กับพวกรวม 48 คนโจทก์ กับ พลเอกพิศาล วัฒนวงษ์คีรี ที่ 1 กับพวกรวม 9 คน จำเลย คดีนี้ วันที่ 25 เม.ย. 2567 โจทก์ทั้งสี่สิบแปดฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้าตาม ป.อ. มาตรา 59,80,83,288,2899(5),309,300
เนื่องจากเป็นคดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้อง ศาลจึงนัดไต่สวนมูลฟ้องตาม ป.อ. มาตรา 162(1 ) ในวันที่ 24 มิ.ย. 2567 ในวันนัด ศาลได้ส่วนพยานฝ่ายโจทกได้ 1 ปาก จนล่วงเวลาราชการ จึงเลื่อนไปนัดโต่สวนมูลฟ้องต่อในวันรุ่งขึ้นในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดที่สอง ศาลอนุญาตให้โจทก์ที่ 6 ถึงที่ 8 ที่ 26 ที่ 35 ที่ 42 และญาติโจทก์ที่ 3 แถลงการณ์ด้วยวาจา
เกี่ยวกับความรู้สึก ความเสียหาย หรือความประสงศ์อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ตามฟ้อง แล้วเลื่อนไปนัดไต่สวนมูลฟ้องวันที่ 26 ก.ค.2567ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องนัดที่สาม ศาลไต่สวนพยานโจทก์ทั้งสี่สิบแปดได้ 2 ปาก รวม ฝ่ายโจทก์น้ำพยานบุคคลเข้าไต่สวน 3 ปาก อ้างพยานเอกสาร 28 รายการ กับพยานวัตถุ 1 รายการ ฝ่ายจำเลยอ้างเอกสารประกอบการถามค้าน 2727 รายการ
คดีเสร็จการได้สวน ศาลนัดฟังคำสั่งหรือฟังคำพิพากษาวันที่ 23 ส.ค. 2567 เหตุที่พัดนานเนื่องจากต้องส่งสำนวนและร่างคำสั่งฯ ให้อธิบดีผู้ดีพิพ์พิพิพากษาภาค 9 ตรวจก่อนอ่าน ทั้งนี้ ในการไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยทั้งเล่มมาศาศาล แต่แต่งหนายควนมาชักค้านพยานฝ่ายโจทก์ รวมทั้งได้ยืนคำแถลงให้ศาลทราบถึงข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายอันสำคัญที่ศาลควรสั่งว่าคดีไม่มีมูล ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 165/2 วันที่ 23 ส.ค. 2567 ศาลจังหวัดนราธิวาสมีคำสั่งว่า คดีในส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 กับที่ 9 มีมูลความผิดในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่น ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น และร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตาม ปล.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 83 มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80.83 และมาตรา 310 วรรคสอง ประกอบมาตรา 290.83ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 7 พิพากษายกฟ้อง เพราะเห็นว่า คำฟ้องในส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5 ) กับพยานหลักฐานในขั้นไต่สวนมูลฟ้องไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 7 มีส่วนร่วมในการกระทำผิดตามฟ้อง วันเดียวกัน ศาลออกหมายเรียกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ถึงที่ 6และที่ 8 กับที่ 9 มาสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 12 ก.ย. 2567
เมื่อถึงวันนัด จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 กับที่ 9 ไม่มา ศาลจึงออกหมายจับ เว้นแต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ศาลมีหนังสือขออนุญาตจับต่อสภาผู้แทนราษฎร และเลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อสอบคำให้การฯ กับติดตามผลการจับและขออนุญาตจับ ในวันที่ 15 ต.ค. 2567 ต่อมา วันที่ 1 ต.ค. 2567 ศาลได้รับสำเมาหนังสือของสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 24 ก.ย. 2567แจ้งว่า ระหว่างสมัยประชุม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่มีความคุ้มกันโด ๆ
ในชั้นพิจารณาของศาล รวมทั้งจากการจับและคุมขังโมคดีอาญา ศาลจึงออกหมายจับจำเลยที่ 1 ในวันเดียวกัน ทั้งนี้ ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานตำรวจศาตเป็นผู้มีอำนาจจัดการตามหมายจับควบดูไปกับพนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานตำรวจตามปกติ เพื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสในการติดตามจับกุมจำเลยที่หลบหนี
ในวันนัด วันที่ 15 ต.ค. 2567 ยังไม่สามารถจับกุมจำเลยคนใดได้ ศาลไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาต่อต้องเลื่อนคดีไปเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยที่หลบหนีมาเสียก่อน แต่ศาลอนุญาตให้ญาติผู้ตายแถลงการณ์ด้วยวาจา เกี่ยวกับคดีนี้ แล้วมีคำสั่งเลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี หรือนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาวันที่ 28 ต.ค. 2567
ในวันนัดวันนี้ วันที่ 28 ตุลาคม 2567 ยังคงไม่สามสามารถจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 กับที่ 9ได้ ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี เนื่องจากคดีขาดอายุความ ทำให้สิทธิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ป.อ. มาตรา 39 (6)เหตุที่ศาลมีคำสั่งจำหน่าย
คดีแทนพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง เพราะตามบหบัญญัติดังกล่าว เป็นกรณีที่ปัญหาเรื่องคดีขาดอาดอายุความ ปรากฎต่อศาลในชั้นทำคำพิพากษาและคำสั่ง ซึ่งกฎหมายายกำหนดให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป แต่คดีนี้ จำเลยที่ 1,9 ที่ 3 ถึงที่ 6 และที่ 8 กับที่ 9 ไม่เคยเข้าสู่การพิจารณา แต่หลบหนีจนคดีขาดอายุความ เป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ทั้งสี่สิบแปดระงับ ไม่สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ ต้องจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ