ถึงยุคอินฟลูฯคือที่พึ่งแล้วหรือ? ตำรวจเองก็ยังแนะนำเหยื่อให้ไปร้อง ตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจคงไร้น้ำยาบริหารสั่งการ !!

887



        ติดตามสื่อโซเชียลที่ตำรวจให้ความนิยม รวมถึงกลุ่มไลน์ที่ตั้งกันมาสื่อสารเฉพาะกลุ่มโพสต์ข้อความแสดงอาการปลื้มปริ่มกับผลงานชิ้นแรกของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.) เพราะต่างเชื่อมั่นว่าคณะกรรมการฯชุดนี้จะพึ่งพาได้ดีกว่าชุดอื่นๆที่ดีแต่ปาก สร้างภาพเก่ง

   “ประดู่แดง”ไม่ขอแสดงความเห็นใดๆ เพราะทุกกระบวนการอธิบายความอย่างกระจ่างแล้ว แต่อยากจะนำเสนอเกี่ยวกับบทบาทระหว่าง ตำรวจ กับ อินฟลูเอนเซอร์  บทบาทค่อนข้างโดดเด่นเป็นพึ่งของชาวบ้านที่หวั่นเกรงอิทธิพลและไม่ได้รับความเป็นธรรม

       ในช่วง 5-6 วันที่ผ่านมาสื่อทีวีนำเสนอข่าวหนุ่มชาวพังงาเดินทางจากพังงาเข้าร้องเรียนกับเพจ“สายไหม”ต้องรอดว่ามีเหตุวิวาทกัน เนื่องจากถูกคู่กรณีขับรถปาดหน้าจึงตำหนิว่าไม่ควรทำ ต่อมาคู่กรณีไปฟ้องพ่อว่าถูกตำหนิ พ่อพาลูกมาขอโทษ ผมจึงตักเตือนไป สร้างความไม่พอใจให้กับพ่อคู่กรณีอย่างมาก ที่ผมตำหนิลูกเขาต่อหน้า ทั้งพ่อและลูกกลับไป

   “จากนั้นทั้งพ่อและลูกกลับมาหาผมพร้อมถือปืนเอ็ม 16 มาเคาะประตูห้องพักถึงขั้นจะพังห้อง แต่ไม่สามารถเปิดเข้าไปได้ ยิงปืนเอ็ม 16 ขู่ขึ้นฟ้าหลายนัดแล้วจากไป ผมโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจ ทางตำรวจบอกว่าให้จบๆไปเถอะ จึงแจ้งความที่โรงพักเกาะยาว ตำรวจแนะนำว่าถ้าจะให้ปลอดภัยหรือคดีมีความคืบหน้าต้องไปร้องเพจสายไหมต้องรอด”เหยื่อระบุ

บทสรุปจบอย่างไรและตำรวจแนะนำไปร้องเรียนจริงหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบแต่ ทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.)พังงาสั่งให้ตรวจสอบความจริงแล้ว

      ที่ยกมานำเสนอเพื่อจะสื่อสารว่าเมื่อรัฐบาลบอกว่าปราบผู้มีอิทธิพลแล้วทำไมถึงครอบครองอาวุธสงครามได้แถมยิงขู่ชาวบ้านอีกต่างหาก รวมถึงจะสื่อว่าตำรวจและเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมาย เมื่อเกิดเหตุต้องร้องบรรดาอินฟลูเอนเซอร์ก่อนแล้วถึงจะสะสางคดีหรืออย่างไร

      อีกประเด็นที่ต้องการสื่อคือคำแนะนำของตำรวจให้ไปร้องเรียน ประเด็นนี้มีมาอย่างยาวนานแล้วเป็นความรู้สึกอึดอัดของตำรวจระดับปฏิบัติ เมื่อผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ก่อเหตุพอเจ้าทุกข์แจ้งความจะมีโทรศัพท์ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้การฯจังหวัด หรือบิ๊กข้าราชการในพื้นที่ หรือนักการเมืองที่มีอิทธิพล จะต่อสายมาถึงพนักงานสอบสวนแจ้งว่าต้องหาทางออกผ่อนหนักเป็นเบาหรือเคลียร์ให้จบไม่ต้องรับคดีได้ยิ่งดี

    ในอดีตทางตำรวจผู้ปฏิบัติจะแนะนำให้ไปร้องสื่อมวลชนนำเสนอข่าวเพื่อใช้กระแสสังคมกดดันให้บรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายงดการช่วยเหลือให้บิดคดี ยุคนั้นการร้องเรียนมีน้อยเพราะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักปทุมวันมีภาวะผู้นำพร้อมที่จะปกป้องลูกน้องที่ถูกกลั่นแกล้งเสมอ การร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมจึงเกิดขึ้นน้อย แตกต่างจากยุคปัจจุบันที่ทำให้มีพวกอินฟลูเอนเซอร์ เกิดขึ้นจำนวนมาก บางอินฟลูฯพอเริ่มมีชื่อเสียงจะเกิดอาการโลภหาช่องแสวงหาประโยชน์จากทั้งเหยื่อและผู้ที่ถูกร้องสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ถ้ามองถึงต้นเหตุให้อินฟลูเอนเซอร์กลายเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน คงมาจากความด้อยประสิทธิภาพในการทำงานของเจ้ารัฐที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งตำรวจเป็นเป้าสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทางลบเพราะเป็นสารตั้งต้นที่ชาวบ้านพึ่งพาเมื่อเกิดเหตุ

     ต้นเหตุอันสำคัญที่ทำให้เครดิตตำรวจติดลบ มาจากทั้งฝีมือของรัฐบาลเผด็จทหารผสมผสานกับบิ๊กตำรวจที่มองเห็นประโยชน์ส่วนตัวและพรรคพวกมากกว่าองค์กรตำรวจที่ให้กำเนิดยอมก้มหัวให้เหยียบแบบไร้ศักดิ์ศรี บางนายครองอำนาจยาวนาน มีผลงานชิ้นโบว์แดงคือสร้างฝันร้ายอันยาวนานให้กับตำรวจทั่วประเทศ  วัฎจักรแห่งความเลวร้ายนี้ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ตำรวจระดับปฏิบัติการอยู่อย่างอยากลำบาก  ความก้าวหน้าในหน้าที่มืดมน ขวัญกำลังใจหดหาย เพราะบรรดาผู้นำต่างนำองค์กรไปอยู่ใต้อาณัติของผู้มีอำนาจที่ฉ้อฉล จึงไม่แปลกที่งานบริการบนโรงพักถึงล้มเหลว ทำให้ตำรวจกลายเบี้ยล่างของบรรดาอินฟลูเอ็นเซอร์

    ดังนั้นเพื่อให้ตำรวจระดับปฏิบัติการคือที่พึ่งพาอันสำคัญของประชาชนในยามที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม มากกว่าที่จะต้องหันไปพึ่งบรรดาอินฟลูเอ็นเซอร์ ได้แต่หวังว่า การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)คนต่อไป จะได้เห็น นายกรัฐมนตรีและคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)คัดสรรรองผบ.ตร.ที่มีคุณสมบัติครบสูตรมากด้วยประสบการณ์ไม่โตแบบบ่มแก๊ส มานั่งกุมบังเหียนแล้วเดินหน้ากอบกู้เกียรติยศ ศักดิ์ศรีของชาวสีกากีที่เหลือน้อยเต็มทีหรือแทบจะติดดิน กลับคืนมาให้เป็นองค์กรที่ประชาชนศรัทธาเหมือนเดิม

         เชื่อว่านี่คือปรากฏการณ์ที่ตำรวจทั่วทั้งประเทศอยากเห็น เพราะต่างอยู่กันแบบทนทุกข์มานานแล้ว และมั่นใจว่าก.ตร.คงจะยึดแนวทางเดียวกับ ก.พ.ค.ตร.ที่โชว์ผลงานชิ้นแรกได้อย่างประทับใจ !!!