“เศรษฐา”โชว์ภาวะผู้นำกำชับตำรวจเลิกแบ่งฝ่าย-ให้โฟกัสงานเพื่อประชาชน

282

นายกฯกำชับตำรวจเลิกแบ่งฝ่าย ขอโฟกัสทำงานเพื่อประชาชน ขอให้มีความสมัครสมานสามัคคี เชื่อปมตั้งคณะกรรมการสอบตำรวจไม่วืดซ้ำรอย ชี้ผู้นำคนละยุค ส่วนได้กลับก่อนเกษียณหรือไม่ขึ้นอยู่กับผลสอบ

เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2567 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อเป็นประธานในการมอบนโยบายบริหารราชการให้กับตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศ โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับ เมื่อมาถึงได้มีการยืนพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเดินเข้าอาคาร เพื่อมอบนโยบายให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศ ที่ชั้น 2 ภายหลังจากมีคำสั่ง โยก 2 นายพลใหญ่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) เข้าไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี 60 วัน หลังจากเกิดความขัดแย้งภายในองค์กรตำรวจ โดยในการประชุมมอบนโยบายได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าฟังเป็นครั้งแรก

โดยในช่วงท้ายของมอบนโยบาย นายกรัฐมนตรี ได้ฝากถึงผู้ใต้บังคับบัญชา ระบุว่า ขอให้พวกเรากันเองมีความสมัครสมานสามัคคี เชื่อว่าทุกคนก็เป็นคนมีความรักให้ชอบใครต่างๆ กันไป ซึ่งเชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็เข้าใจถึงปัญหาที่มีมา รวมถึงการสมัครสมานสามัคคี และการเลือกข้าง แบ่งพวก หรือลูกน้องใครต่างๆ นั้น ตนเชื่อว่า เราเก็บความรักนั้นเอาไว้ในใจเองดีกว่า วันนี้ขอให้เอาพี่น้องประชาชนเป็นที่ตั้ง และทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด

ส่วนเรื่องคดีความต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเมื่อวานนี้ ก็ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเราก็มีคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้แล้วถึง 3 ท่าน และเมื่อมีผลสรุปแล้วก็จะนำเรียนแจ้งขอที่ประชุม ก.ตร. ให้ทราบอีกครั้ง และขอให้ทุกท่านไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องการให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย เพราะตนเองก็ไม่ได้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราอยู่ตรงนี้เพื่อดูแลพี่น้องประชาชน และขอให้ยึดตรงนี้ไว้ ถ้าเราทำได้ก็เชื่อว่า เราจะทำงานด้วยกันได้ และองค์กรก็จะสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างสมศักดิ์ศรี

จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ภายหลังการประชุมมอบนโยบายให้กับตำรวจระดับผู้บังคับบัญชาจากทั่วประเทศว่า ได้กำชับให้นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ตั้งแต่ระดับพลตำรวจโทจนถึงระดับรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทั้งหมดที่เข้าร่วมประชุมให้เข้มงวดในภารกิจดูแลพี่น้องประชาชน ทั้งเรื่องการพนันออนไลน์, ยาเสพติด, มือปืน, บ่อน, เผาป่า , การอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว, การดูแลเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง, รวมทั้งกำชับเรื่องความสมัครสมานสามัคคี ไม่ให้ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ให้นำประชาชนเป็นที่ตั้งเชื่อว่าแต่ละคนก็มีความรักความชอบที่แตกต่างกัน แต่ขอให้เก็บไว้ในใจ ให้ทำงานเพื่อประชาชน และตำรวจไม่ได้มีหน้าที่ให้ข่าวสนับสนุนใคร จึงไม่ต้องการให้มีการก้าวก่ายหรือให้ข่าวเรื่องใด ๆ อีกต่อไปแล้ว และไม่ต้องการให้ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ทุกท่านยังฝักใฝ่เรื่องนี้ หากยังพูดถึงแต่เรื่องนี้ ประชาชนก็จะเดือดร้อน ตำรวจเองก็จะไม่ตั้งสมาธิกับการการทำงาน ดราม่าจบไปแล้ว อีกทั้งรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็มีภารกิจหลักอยู่ ซึ่งได้หารือนอกรอบกับพลตำรวจเอกกิตติ์รัฐแล้วว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง และช่วงบ่ายวันนี้ก็จะมีการลงรายละเอียดในเรื่องนโยบายต่อไป

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นวานนี้ที่ได้มีคำสั่งให้ นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ 2 นายไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย มั่นใจว่าจะไม่มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ส่วนจะอยู่ในกรอบระยะเวลา 60 วันนั้นไม่สามารถตอบได้ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง แต่หากสามารถดำเนินการได้รวดเร็วกว่านั้นก็จะดี ส่วนจะมีผลทางวินัยและอาญาในภายหลังหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวนข้อเท็จจริง หากไม่พบการกระทำความผิดก็สามารถกลับมาได้ แต่จะกลับมาก่อนเกษียณอายุราชการหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการฯเช่นกัน และคงจะมีการชี้แจงในภายหลัง ตอนนี้จึงไม่อยากให้ข่าวที่เป็นการชี้นำหวังว่าหลังจากนี้จะไม่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นอีก ยืนยันว่าไม่ใช่การสร้างภาพ ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายได้หรือไม่ แต่คำสั่งดังกล่าวจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมหรือคลื่นใต้น้ำหรือไม่นั้น ไม่ทราบ

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการเซ็นคำสั่งดังกล่าวเป็นเรื่องที่ยาก และไม่สบายใจที่จะตัดสินใจ แต่ขณะนี้ยังไม่ได้แบ่งงานให้กับทั้งสองท่าน เนื่องจากมีภารกิจหลายอย่าง

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่า ในอดีตสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งเคยมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วย บุคคลภายนอกขึ้นมาตรวจสอบนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แต่สุดท้ายยืดเยื้อ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่สามารถนำมาบังคับใช้ทางอาญาหรือวินัยได้เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฯ จึงต้องมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้นใหม่ กรณีนี้จะ เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรีตอบว่า “ท่านใช้คำว่าอดีตนั้นถูกต้องแล้ว แต่นี่คือปัจจุบัน ผู้นำก็คนละคน“

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #นายกรัฐมนตรี