“ก้าวไกล” จี้รัฐ ช่วย SME แก้ปัญหาภาษีไม่เป็นธรรม ทำสินค้าต่างประเทศทะลัก

375

“ก้าวไกล” ชง 3 ข้อเสนอ แก้ปัญหาสินค้าต่างชาติทะลักถล่ม SME ไทย เลิกยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าราคาไม่เกิน 1,500 บาท-กวดขันผู้ประกอบการออนไลน์ต่างชาติจดแจ้งเสียภาษี-บังคับแพลตฟอร์มช็อปปิงออนไลน์กำกับผู้ค้าต้องจด อย.-มอก. จี้รัฐบาลทำได้ทันที ผู้ประกอบการศึกษามาให้หมด ไม่ต้องศึกษาแล้ว

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ที่อาคารอนาคตใหม่     นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล แถลงข่าวจับตานโยบาย “ภาษีต้องเป็นธรรม อย่าให้สินค้าต่างชาติบนแพลตฟอร์มฆ่า SME ไทย” พร้อมข้อเสนอแนะแก้ปัญหาช่องว่างทางภาษีที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์สินค้าต่างชาติล้นตลาดเข้ามาเอาเปรียบผู้ประกอบการชาวไทยและส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค

สิทธิพลระบุว่า ปัจจุบันการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพิ่มสูงมากขึ้นเรื่อยๆ สินค้าจากต่างชาติสามารถอาศัยช่องว่างทางภาษี ที่อนุญาตให้สินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องเสียอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม ในขณะที่สินค้าไทยจากผู้ประกอบการไทยต้องเสียภาษีตั้งแต่บาทแรก นั่นหมายความว่าผู้ประกอบการไทยกำลังถูกเอาเปรียบจากช่องว่างทางภาษีตลอดหลายปีที่ผ่านมา

ภาคเอกชนได้เคยร้องเรียนปัญหาดังกล่าวนี้มายังคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งมีตนเป็นประธาน ทางคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญทั้งผู้ประกอบการ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นกรมสรรพากร กรมศุลกากร กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า มาให้ข้อมูล และต่อมาได้นำไปสู่การแถลงข่าวเพื่อเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้มีมาตรการแก้ไข เป็นที่น่ายินดีที่รัฐบาลออกมารับข้อเสนอที่ขอให้ทบทวนช่องว่างทางภาษีเหล่านี้ที่กำลังเอาเปรียบพี่น้องเอสเอ็มอี

พรรคก้าวไกลขอถึงสิ่งที่รัฐบาลต้องทำ ประการแรก คือต้องแก้ประกาศกรมศุลกากรที่ 191/2561 ที่ระบุหลักเกณฑ์ว่าสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทไม่ต้องเสียอากรนำเข้า ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหานี้ เพราะเมื่อไปรวมกับประมวลรัษฎากรมาตรา 81 (2) (ค) ที่ให้สินค้าที่รับการยกเว้นอากรนำเข้าไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มไปด้วย ก็ยิ่งทำให้สินค้าที่มาจากต่างชาติที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ไม่ต้องเสียทั้งอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม

สมมติพ่อค้าไทยกับพ่อค้าต่างชาติขายเสื้อหนึ่งตัวราคา 500 บาท ผู้ประกอบการไทยที่ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเช่นผ้า ต้องเสียอากรนำเข้า ต้องจ่ายค่าแรงสมมติ 100 บาท ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มอีกประมาณ 32 บาท นั่นหมายความว่าต้นทุนทั้งหมดสำหรับผู้ประกอบการไทยอยู่ที่ประมาณ 232 บาทแล้ว ขณะที่พ่อค้าขายเสื้อสำเร็จรูปนำเข้าสินค้ามาไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่ต้องเสียภาษีต้นทุนวัตถุดิบ ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แถมค่าแรงอาจจะถูกกว่าอีก นั่นหมายความว่าต้นทุนอย่างมากของเขาก็อยู่ที่ 200 บาทเท่านั้น

สิทธิพลระบุว่าในกรณีเช่นนี้ ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบตั้งแต่ในมุ้งแล้ว ขายสินค้าประเภทเดียวกัน อย่างไรก็มีโอกาสเอาชนะสินค้าต่างชาติได้ยาก วันนี้สิ่งที่ภาคเอกชนไทยคาดหวังไม่ใช่การไม่ต้องเสียภาษี แต่พวกเขาคาดหวังว่าจะไม่ถูกเอาเปรียบจากสินค้าต่างชาติที่ไม่ต้องจ่ายภาษี

นอกจากนี้ หลายคนอาจมองว่าสินค้าไทยสามารถได้เปรียบจากตำแหน่งที่ตั้ง สามารถส่งได้ง่ายและสะดวกกว่า แต่วันนี้ข้อได้เปรียบนี้หายไปแล้ว จากข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศและระเบียบกรมศุลกากร ที่เปิดช่องว่างให้เกิดโกดังปลอดภาษี หรือ Free Trade Zone Distribution Center ที่ผู้ค้าต่างชาติสามารถเอาสินค้ามาพักในโกดังในประเทศไทยได้โดยยังไม่ต้องจ่ายภาษี เมื่อมีคนไทยช็อปปิงออนไลน์ก็ค่อยส่งจากโกดังนั้นไปยังบ้านเรือนประชาชน ยิ่งทำให้สินค้าต่างชาติบนแพลตฟอร์มสามารถทะลักเข้าสู่ตลาดไทยได้อย่างง่าย

สิทธิพลยังกล่าวต่อไป ว่าจากการประมาณการของสถาบันวิจัย Krungthai Compass พบว่ามูลค่าการค้าของสินค้าบนแพลตฟอร์มดิจิทัลอยู่ที่ปีหนึ่งประมาณ 6-7 แสนล้านบาท ซึ่งตนอนุมานว่าสินค้าที่มาจากแพลตฟอร์มต่างชาติที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท มีปริมาณมากอาจจะอยู่ที่ราว 90% ของ 6-7 แสนล้านบาทนี้ นั่นหมายความว่าแต่ละปี 4-5 แสนล้านบาทกำลังไหลไปสู่ต่างประเทศจากช่องว่างทางภาษี และรายได้ส่วนนี้ รัฐเก็บภาษีไม่ได้

นอกจากนี้ สิ่งที่ภาคเอกชนร้องเรียนผ่านคณะกรรมาธิการฯ และพรรคก้าวไกล ก็คือวันนี้สินค้าจำนวนมากที่อยู่บนแพลตฟอร์มออนไลน์กำลังไม่ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มอาหาร ยา อาหารเสริม วิตามิน ที่หากเป็นสินค้าไทยจำเป็นต้องขอ อย. หรืออุปกรณ์อื่นๆ เช่นอุปกรณ์ไฟฟ้า ก็ต้องขอ มอก.

แต่ปรากฏว่ามีสินค้าบนแพลตฟอร์มจำนวนมากที่มาจากต่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีมาตรฐานเหล่านี้ ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบสองทาง ทางแรกคือมีโอกาสส่งผลร้ายต่อผู้บริโภค ประชาชนที่เห็นสินค้าประเภทเดียวกันไม่สามารถรู้ได้ว่าชิ้นไหนมีเลข อย. หรือมีเลข มอก. หรือไม่ เห็นแค่ว่าสินค้าเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่าผู้บริโภคก็มักเลือกซื้อสินค้าที่ราคาถูกกว่า นั่นหมายความว่าในอีกมิติหนึ่ง สินค้าไทยจะขายได้ยากขึ้น ดังนั้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเข้าไปกำกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ให้สามารถบังคับให้ผู้ค้าบนแพลตฟอร์มเหล่านั้นมีการแสดงเลขจดแจ้ง ไม่ว่าจะเป็น อย. หรือ มอก. เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค 

สิทธิพลกล่าวต่อไป ถึงข้อร้องเรียนประการต่อมาที่ภาคเอกชนส่งข้อร้องเรียนมายังพรรคก้าวไกล ก็คือมีแพลตฟอร์มออนไลน์จำนวนมากที่ให้บริการกับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นดูหนัง ฟังเพลง สื่อโซเชียลมีเดีย หรือการขายโฆษณา ที่ได้รายได้จากคนไทยไปจำนวนมากในแต่ละปี ที่น่าสนใจคือในต่างประเทศรัฐบาลสามารถเก็บภาษีจากรายได้ส่วนนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่คำถามที่ภาคเอกชนส่งเสียงมาก็คือวันนี้รัฐบาลไทยสามารถจัดเก็บภาษีจากรายได้ของแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ได้ครบถ้วนหรือไม่

จากการชี้แจงในคณะกรรมาธิการฯ โดยกรมสรรพากร พบว่าในปีที่แล้วรัฐบาลสามารถเก็บภาษีในส่วนนี้ ที่เรียกว่า VES – VAT for Electronics Service เป็นจำนวนประมาณ 6-7 พันล้านบาท จากยอดการค้าประมาณ 1 แสนล้านล้าน อย่างไรก็ตามภาคเอกชนประเมินว่ายอดรายได้ที่เกิดขึ้นจริงจากบริการออนไลน์น่าจะอยู่ที่ราว 2 แสนล้านบาท หรือพูดง่ายๆ ว่ารายได้ภาษีที่รัฐบาลควรจะเก็บได้อาจจะตกหล่นไปกว่าครึ่งหนึ่ง

ดังนั้น ภาคเอกชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลมีกระบวนการในการติดตามอย่างเพียงพอ เพื่อกวดขันว่าแพลตฟอร์มต่างชาติเหล่านี้ได้มาขึ้นทะเบียนกับกรมสรรพากรหรือกระทรวงการคลังครบถ้วนหรือยัง วันนี้มีการมาขึ้นทะเบียนแล้วประมาณ 177 ราย ยังมีใครที่อยู่นอกเหนือจากนี้ที่ทำธุรกิจกับคนไทยแต่ยังไม่ได้มาจดแจ้งหรือไม่ และสามารถไปตรวจสอบได้หรือไม่ว่าแต่ละบริษัทได้นำส่งภาษีครบถ้วนหรือไม่

สิทธิพลกล่าวต่อไป ว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด พรรคก้าวไกลจึงไปรวบรวมมาว่าในต่างประเทศมีปัญหาแบบเดียวกันนี้หรือไม่ ก็พบว่าปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ประเทศไทยเป็นที่แรก ในอาเซียนเองก็มีตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น ที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่ปัจจุบันมูลค่าที่ยกเว้นไม่ต้องจ่ายอากรนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่เพียง 100 บาทเท่านั้น ที่น่าสนใจคือยอด 100 บาทนี้ อินโดนีเซียเพิ่งปรับลดลงลดลงจากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ 2,000 บาทเมื่อปี 2020

นอกจากนี้ จากการประเมินของสถาบันวิจัยนโยบายเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซ cube.asia ประเมินว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียนที่มีขนาดตลาดอีคอมเมิร์ซใหญ่ใกล้เคียงกัน ก็พบว่าอีคอมเมิร์ซไทยมีการกำกับดูแลจากรัฐน้อยกว่าในต่างประเทศ นี่เป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า ณ ปัจจุบันการกำกับดูแลแพลตฟอร์มออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นในเชิงภาษี ในเชิงคุ้มครองผู้ประกอบการ ในเชิงการดูแลผลกระทบ ปัจจุบันยังน้อยไปและยังไม่เพียงพอ

สิทธิพลกล่าวต่อไป ว่าสิ่งที่อยากฝากไปยังรัฐบาลเป็นการบ้านง่ายๆ มีไม่กี่เรื่อง และไม่จำเป็นต้องไปทำการศึกษาเพิ่มแล้ว เพราะสิ่งนี้เป็นข้อเรียกร้องที่ภาคเอกชนเรียกร้องมา 3-4 ปีแล้ว และทุกครั้งภาครัฐก็บอกว่ากำลังศึกษาอยู่ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำทันทีมีอยู่อย่างน้อย 3 เรื่อง คือ 1) แก้ประกาศกรมศุลกากรโดยปรับตัวเลขยอดให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม 2) ต้องมีกระบวนการติดตามที่เพียงพอ ให้แพลตฟอร์มที่ให้บริการจากต่างประเทศต้องมาจดแจ้งและนำส่งรายได้อย่างครบถ้วน 3) ให้คุยกับแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ขายสินค้าในประเทศไทย ให้ไปทำระบบกวดขันผู้ค้าให้ต้องระบุเลข อย. หรือ มอก. พร้อมทำระบบหลังบ้านเพื่อตรวจทานกับ อย. หรือ มอก. ว่าเลขเหล่านั้นเป็นเลขที่จดแจ้งอย่างถูกต้องหรือไม่

“ทั้งหมดนี้ต้องทำทันที เพราะภาคเอกชนพี่น้องเอสเอ็มอีเขาลำบากมามากและลำบากมานานแล้ว สิ่งเหล่านี้พี่น้องเอสเอ็มอีจำนวนมากไม่เคยทราบว่านี่คือปัญหาที่เกิดจากช่องว่างทางภาษี แต่เขาเป็นคนได้รับผลกระทบ พี่น้องโรงงานเอสเอ็มอีจำนวนมากไม่รู้เลยว่าทำไมวันหนึ่งออเดอร์ถึงหายไป พวกเขาจำนวนมากเปิดร้านค้าจ่ายค่าเช่า ไม่รู้ว่าทำไมนับวันเขาถึงขายของไม่ได้ นี่คือต้นตอของปัญหา นี่คือความรุนแรงของปัญหาที่ทำให้ครอบครัวกิจการเอสเอ็มอีไทยจำนวนมากไปต่อไม่ได้” สิทธิพลกล่าว

สิทธิพลยังกล่าวอีกว่าทั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ไม่จำเป็นต้องไปศึกษาอะไรอีกแล้ว เพราะมีการศึกษามานานแล้ว ท่านมีหน้าที่ต้องไปทำ เพราะสุดท้ายถ้าท่านไม่รีบแก้จะเกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว รายได้จากการค้าออนไลน์จะไหลไปสู่ต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งจะกระทบกับการประกอบธุรกิจของชาวไทย โรงงานไทย ตลอดจนการจ้างงาน การลงทุน และศักยภาพการแข่งขันของประเทศในระยะยาว

#Thaitabloid #ไทยแทบลอย์ #พรรคก้าวไกล #สิทธิพลวิบูลย์ธนากุล #ภาษีไม่เป็นธรรม #SMEไทย #แพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์