เห็นอาการแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)บางคนระรื่นและชื่นมื่น หลังศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง แกนนำและแนวร่วม 32 คน ฐานร่วมกันเป็นกบฏก่อการร้าย ระดมมวลชนยึดสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ สั่งปรับคนละ 20,000 บาท เหตุเกิดช่วงวันที่ 24 พฤศจิกายน -3 ธันวาคม 2551
เป็นการชุมนุมขับรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พรรคพลังประชาชน ที่ประชาชนเทคะแนนเลือก เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฏร โดยอ้างว่าเป็นร่างทรงนายทักษิณ ชินวัตร ที่ลี้ภัยเพราะพิษรัฐประหารอยู่ต่างประเทศ
รายละเอียดคำพิพากษาจะเป็นอย่างไร ประชาชนรู้สึกแบบไหน คงไม่ก้าวล่วงเพราะเป็นดุลยพินิจของศาลที่จะพิพากษา
แต่เมื่อเห็นข่าวแล้วทำให้หวนระลึกถึงช่วงที่กลุ่มพธม.บุกยึดสนามบิน ได้นำมาซึ่งความทุกข์ระทมของประชาชนจำนวนหนึ่ง แม้กลุ่มพันธมิตรฯจะพยามบอกว่าเป็นสิทธิในการชุมนุม แต่ช่วงนั้นสังคมถามกลับไปว่ามีสิทธิจนสามารถละเมิดสิทธิคนอื่นได้ด้วยหรือ ?
ช่วงกุล่มพันธมิตรฯยึดสนามบินทั้งสองแห่ง มีโอกาสทำข่าวเกี่ยวประชาชนและนักธุรกิจนำเข้าและส่งออก ว่ามีผลกระทบอะไรหรือไม่
มีนักธุรกิจหลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าสินค้าที่นำเข้าและส่งออกตกค้างอยู่สนามบิน เพราะเครื่องบินทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่กล้าบินเข้าออก เนื่องจากกฎการบินค้ำคอที่บอกว่าการบินจะขึ้นบินทุกงอย่างต้องปลอดภัย
นักธุรกิจรายหนึ่งสัมภาษณ์ทั้งน้ำตาว่า”นำเข้าปลาสวยงามมาขายที่สวนจตุจักร กลุ่มพันธมิตรฯปิดสนามบิน ทำให้ผมเสียหายเจ๊งยับหมดตัวไปกว่า 50 ล้านบาท”
ขณะที่นักการเมืองคนหนึ่งในพื้นที่ภาคใต้เล่าว่า”เดินทางไปทำธุรกิจที่ออสเตรเลีย มาถึงสนามบินเช็คอินเรียบร้อยแล้ว แต่ทางสนามบินออสเตรเลียประกาศว่าไม่สามารถบินไปประเทศไทยได้ เพราะกลุ่มพันธมิตรฯบุกยึดสนามบินทั้งสองแห่ง ต้องติดอยู่ออสเตรเลียถึง 7 วัน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นแถมสินค้าที่จะลำเลียงกลับไทยต้องล่าช้าไปด้วย”
นี่เป็นเพียงบางส่วนที่กลุ่มพันธมิตรฯอ้างว่าทำเพื่อประเทศชาติ และแกนนำบางคนทำไขสือสีข้างเข้าถูว่าไม่ได้กีดขวางการเดินทางเข้าออก ไม่ได้กีดขวางไม่ให้บิน เพราะชุมนุมในสถานที่ปิด ฟังแล้วอดขำไม่ได้จริง
ผลพวงของการยึดสนามบิน รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย บอกว่าเช้ามือวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 ประกาศปิดการขึ้นลงเที่ยวบินทั้งหมด ทำให้มีผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตกค้างประมาณ 3,000 คนความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการปิดสนามบิน 2 แห่ง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินในเวลานั้นว่าสูงกว่า 2 แสนล้านบาท
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ออกรายงานปี 2552 วิเคราะห์ผลกระทบทางตรงและทางอ้อมต่อธุรกิจท่องเที่ยว รวมเสียหาย 2.9 แสนบาท แบ่งเป็นภาคบริการ 1.2 แสนล้านบาท ภาคขนส่ง 9 พันล้านบาท และภาคอุตสาหกรรม 6 พันล้านบาท
นี่คือความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศเสียโอกาสทั้งที่ไม่ควรจะเสีย แต่หลังจากกดดันนายสมชาย สำเร็จ ได้ตั้งรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในค่ายทหารพอหมดวาระ จัดการเลือกตั้งพ่ายให้พรรคเพื่อไทย ได้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวนักโทษชาย(น.ช.)ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
ห้วงเวลานั้นส.ส.ตั้งกระทู้ถามสดถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีแกนนำพันธมิตรฯและแนวร่วม พล.ต.อ
โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงถึงความคืบหน้าในหลายประเด็น ก่อนสรุปสุดท้ายว่าล่าช้าหน่อยเพราะม็อบมีเส้น
คำพูดของ พล.ต.อ.โกวิท เพียงแค่คำว่าม็อบมีเส้น ได้อธิบายภาพโครงสร้างทางอำนาจได้แบบชัดเจน ดังนั้นเมื่อผลคดีที่เกี่ยวกับแกนนำพันธมิตรฯออกมาแบบไม่ตรงใจ บรรดาคอการเมืองก็มองแบบทำใจ
บางคนทำได้เพียงโพสต์บอกความในใจแบบงงๆอย่าง นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 โพสต์ว่า”ประเทศนี้ปิดสนามบินปรับ 20,000 โพสต์รูปกระป๋องเบียร์ปรับ 50,000 ครับ”
ในห้วงเวลานี้ไม้เบื่อไม้เมาของบรรดาแกนนำพันธมิตรฯบินกลับมารับโทษติดคุกทิพย์อยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ไม่เห็นแกนนำพันธมิตรฯหน้าไหนระดมมวลชนกดดันให้กลับไปนอนในคุกบ้าง ?หรือเวลาเปลี่ยนใจคนจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและผลประโยชน์
คงได้แต่ฝากบอกถึงบรรดามวลชนทั้งหลายว่า เมื่อเคลื่อนไหวกดดันอะไรควรคำนึงถึงหัวอกประชาชนที่ทำมาค้าขายสุจริตบ้าง อย่างผลพวงยึดสนามบินทำให้นักธุรกิจนำเข้าและส่งออกได้แต่นั่งน้ำตาริน ธุรกิจพังยับ !!!