ยกเคส 2 คดี“ชี้งานโรงพักเหลว สะท้อน ระดับ ตร. ยังไร้ศักยภาพในการบริหาร? 

8691


        ช่วงต้นสัปดาห์อ่านอาชญากรรมหลายข่าวทั้งลัก วิ่ง ชิง ปล้น รวมถึงข่าวคนเสพยาคลั่งฆ่าและทำร้ายผู้อื่น ผสมผสานกับข่าว ตำรวจ ระดับ ตร.เดินสายจัดกิจกรรมสร้างภาพ แต่มี 2 ข่าวที่ทำให้รู้สึกสะท้อนใจว่าทำไมตำรวจยุคนี้ ไร้ศักยภาพและไร้หัวใจที่จะบริการแล้วหรือ ?

      ข่าวแรกคือผู้เสียหายเป็นหญิงโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า”ติดต่อตำรวจเหนื่อยกว่าตามหาโจร”ปรากฏว่ามีสื่อกระแสหลักและสื่อออนไลน์นำเสนอข่าวอย่างกว้างขวางโดยเธอ ระบุว่า วอนโจรติดต่อมาที พร้อมโอนเงินให้ 2,000 บาท ติดต่อตำรวจเหนื่อยมากเอาของมาคืนทีนะไม่แจ้งความละ ติดต่อตำรวจเหนื่อยกว่าตามตัวคุณอีก ถือว่าช่วยๆกันนะคะ เอาของมาคืน=ได้เงินเพิ่ม ไม่แจ้งความด้วย

   เธอบอกเชิงประชดว่า”พี่เห็นใจหนูเถอะ มันยากเกินการจะดำเนินคดี หนูยอมแพ้แล้วยังไงพี่โจรทักมาคุยกันได้ ติดขัดอยากให้ช่วยเรื่องเงินหรือหนี้สินอะไร เป็นนักสังคมสงเคราะห์พร้อมช่วยอยู่แล้ว”

    จากนั้นเธอบอกไทม์ไลน์ที่ติดต่อตำรวจโรงพักว่า 17/12/ 66 กระเป๋าหาย ไปลงบันทึกประจำวันว่าหล่นหาย ขอหนังสือดูกล้อง ดำเนินการขอภาพจากกล้องเอง พบว่าคนร้ายขโมย จากนั้นพยายามติดต่อร้อยเวรเจ้าของคดี เพื่อแจ้งความคืบหน้าแต่โทรฯไม่เคยติด

  18/12/66 ลงพื้นที่หากล้องเพิ่มเติม ไปแจ้งตำรวจที่ สน.ว่าเลขกล้องวงจรปิดไหนจะเห็นชัด มีหลักฐานอะไรเพิ่มเติมจะส่งทางไลน์ให้ตำรวจ  19/12/66 มีแจ้งเตือนว่าใช้บัตรแรบบิทไปซื้อของ ไปขอดูกล้องด้วยตัวเอง ได้รูปมาแจ้งตำรวจเงียบ

 20/12/66 ขอตำรวจธุรการว่าทำหนังสือถึงบริษัทไปสอบถามบริษัทที่คนร้ายน่าจะทำงาน ช่วยตรวจเอกสาร ส่งเอกสารติดตามเอง สรุปไม่ใช่ ตำรวจถามเอาไงต่อ

 25/12/66 ตำรวจโทรมาช่วง 3 ทุ่มถามรายละเอียดว่าความคืบหน้าเป็นไง เลยถามว่าแจ้งความวันไหนได้บ้าง ตำรวจตอบพรุ่งนี้ 26/12/66 ไปแจ้งความตำรวจไม่รับแจ้ง เพราะร้อยเวรลงบันทึกประจำวันไม่อยู่ คนที่ฉันโทรจนเหนื่อยให้ไปแจ้งความพรุ่งนี้ 2 ทุ่ม เพราะวันนี้ไม่เข้าเวร ไป สน.มา4 ครั้ง เจอพี่แกแค่วันแรกจริงๆ  สรุปแล้วไม่ได้แจ้งความคุยกับตำรวจมาแล้ว 7 คน พอข่าวแพร่ออกไป ผกก.สน.บางโพ ออกมาแบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะดำเนินการให้และนัดผู้เสียหายไปพบที่ สน.เพื่อแจ้งความคืบหน้าของคดี

   ข่าวที่ 2 เหตุเกิดเวลา 20.00 น.วันที่ 26 ธันวาคม ชายคลั่งยา บุกบ้านนายอำเภองาว จ.ลำปาง  แทง อส.เฝ้าบ้านนายอำเภอดับ ขี่รถจักรยานยนต์หลบหนี จากนั้นก่อเหตุชิงรถกระบะ ห่างจากจุดเกิดเหตุ ประมาณ 1 กิโลเมตร หลบหนีไปจอดในปั๊มน้ำมัน ต.นาแก อ.งาว จะไปชิงรถกระบะ จอดหน้าร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน  ใช้มีดฟันคนขับเป็นชายวัย 61 ปี บาดเจ็บ คนขับวิ่งเข้าไปในรถขับหลบหนีไปชนต้นไม้ คนร้ายเห็นท่าไม่ดีขับรถกระบะที่ชิงมาหลบหนีไปประมาณ 7-8 กม. จอดที่หน้าร้านสะดวกซื้อสาขาปงเตา อ.งาว ใช้มีดแทงแม่ค้าอาหารทะเล ชิงรถกระบะหลบหนีไป 5-6 กม.

  จากนั้นไปชนรถพ่อค้าในตลาดนัดเสียหายหลายคัน ใช้มีดฟันเจ้าของรถที่ลงมาดูเหตุการณ์ ถูกชิงรถปาเจโรหลบหนีไป ทาง จ.พะเยา ทั้งสองเหตุการณ์เกิดในพื้นที่ ต.ปงเตา

  เมื่อขับหลบหนีมาถึงบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา ขับชนรถชาวบ้านแทงเจ้าของรถ ชิงรถขับหลบหนี ไปเกิดอุบัติเหตุ ต.แม่ปืม อ.เมือง พะเยา คนร้านพยายมหลบหนี ถูกรถจักรยานยนต์ชนบาดเจ็บ ถึงจะถูกตำรวจควบคุมตัวได้

  จากเหตุดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 7 คน รถชาวบ้านเสียหลายคัน บางคันซ่อมมูลค่านับแสนบาท ยังไม่สามารถที่จะหาผู้รับผิดชอบได้

      ทั้งสองเหตุการณ์ที่ยกมาเพื่อสะท้อนว่าการทำงานของตำรวจขาดความใส่ใจที่จะบำบัดทุกข์บำรุงให้กับประชาชน

       ข่าวแรกเกิดในพื้นที่นครบาล ผู้เสียหายถึงขั้นออกหาหลักฐานเอง ส่งมอบหลักฐานให้เพื่อให้ไปสืบสวนจับกุม แต่ตำรวจกลับเกียร์ว่างเสมือนว่าผู้เสียหายเป็นเสมือนอากาศธาตุ เหตุการณ์แบบนี้เชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะ สน.บางโพ แต่มั่นใจว่าเกิดขึ้นในหชาย สน.ในนครบาล

   ข่าวที่ 2 หนุ่มคลั่งยาไม่แน่ใจว่าบน สภ.งาว เวลา 2 ทุ่มไม่มีตำรวจเข้าเวรเลยหรืออย่างไร เหตุเกิดที่บ้านพักนายอำเภอแท้ๆ แต่ตำรวจไม่มีปัญญาสะกัดจับ ปล่อยให้ขี้ยาคลั่งก่อเหตุสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านถึงขั้นบาดเจ็บล้มตาย

  ถ้าหัวหน้าตำรวจโรงพักงาว ใส่ใจ ต้องสกัดจับตั้งแต่ก่อเหตุครั้งแรก เพราะที่เกิดเหตุคือบ้านนายอำเภอ หรือสกัดจับได้ตั้งแต่หนีเข้าไปจอดรถในปั๊มน้ำมันแล้ว ชาวบ้านไม่ต้องบาดเจ็บและทรัพย์สินเสียหายมากขนาดนี้ แต่กลับปล่อยให้เหตุลามไปถึง จ.พะเยา แถมที่จับกุมได้เพราะขี้ยาคลั่งถูกรถจักรยายนต์ชนบาดเจ็บ จึงไม่ทราบว่า ตำรวจงาว ตำรวจ เมือง พะเยา และตำรวจทางหลวง ได้แจ้งให้ช่วยสกัดจับกันบ้างหรือไม่ ?

    ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นการสะท้อนอย่างมีนัยยะสำคัญว่า ผู้บริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตั้งแต่ ผบ.ตร.ยันผู้บังคับการ(ผบก.)ไร้ซึ่งศักยภาพในการบริหารจัดการ  ทั้งที่งานโรงพักคือหัวใจสำคัญของขับเคลื่อนงานของตำรวจทั้งองค์กร

     ดังนั้นภาพที่ ผบ.ตร. รอง ผบ.ตร. ผู้ช่วย ผบ.ตร. ผบช.และ ผบก. ลงไปตรวจเยี่ยมโรงพักคงแค่ไปสร้างภาพให้ดูดีหรือบางคนไปเพื่อรับปัจจัย  มากกว่าไปกำชับให้ตำรวจทั้งโรงพักตั้งใจทำงานบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้กับประชาชน เพราะถ้าสั่งกำชับให้ทำงานจริงทั้งสองเหตุการณ์คงไม่เกิดให้เป็นหนามตำใจชาวบ้านหรอกครับ !!!