สัปดาห์ที่ผ่านมา ปากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นเหตุเกิดดราม่า สนั่นเขย่าวงการสีกากีและเขย่าขวัญ สส.พรรคเพื่อไทย เมื่อหลุดปากกลางวงประชุมสส.ว่า”ผู้กำกับการ(ผกก.)ใหม่ ซึ่งมั่นใจว่ามีผู้ผิดหวังมากกว่าสมหวังในห้องนี้ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกมันเยอะเหลือเกิน แต่มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง…”
ดังนั้นการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ในวันที่ 28 พฤศจิกายน โดย นายเศรษฐา นั่งหัวโต๊ะ ถูกชาวสีกากีจับตามองเป็นพิเศษ
โดยเฉพาะวาระ 4 ตั้งแต่เรื่องที่ 6-8 มีการขออนุมัติกำหนดเหตุพิเศษกรณีแต่งตั้งนายเวร ผู้ช่วยนายเวร และรอง ผบก.ประจำ ตร. รวมถึงปัญหาขัดข้องในการแต่งตั้งตำรวจที่อยู่ในกลุ่มอาวุโสร้อยละ 33 ให้อำนาจ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)สั่งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นในส่วนราชการอื่นได้ และกรณีให้อำนาจ ผบ.ตร.มีอำนาจสั่งแต่งตั้งตำรวจระดับรองผู้บังคับการ(รองผบก.)ลงมาได้ตามควรแก่กรณี
ในรายละเอียดของวาระอิงตามมาตรา 86 ตาม พ.ร.บ.ตำรวจ 2565 บัญญัติว่า ในกรณีที่ ผบ.ตร.เห็นว่าการใช้อำนาจในการแต่งตั้งของผู้บัญชาการ(ผบช.)ไม่เป็นธรรมหรือมีกรณีไม่ชอบด้วยหลักเกณฑ์หรือวิธีการที่ ก.ตร.กำหนดหรือมีเหตุผลความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ตำรวจซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่มาตรา 77(7)ลงมาพ้นจากพื้นที่หรือหน้าที่หรือเห็นว่าหากดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือมีเหตุพิเศษตามที่ ก.ตร.กำหนด ให้ ผบ.ตร.มีอำนาจสั่งแต่งตั้งตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77(7)ลงมาได้ตามควรแก่กรณี
การประชุมครั้งนี้ตีความแบบตรงไปตรงมาคือขอให้ ก.ตร.ไฟเขียวให้อำนาจพิเศษแก่ ผบ.ตร.พิจารณาแต่งตั้งแบบรวบอำนาจ เข้าข่ายลักษณะขอยกเว้นกฎ กติกา เพื่อเปิดทางให้บุคคลพิเศษที่ผู้อิทธิพลวงการต่างๆหนุน แต่คุณสมบัติไม่ครบได้เลื่อนตำแหน่งได้เลือกตำแหน่งตามที่ต้องการ
ที่ต้องขอ มติ ก.ตร.เพราะกฎหมายตำรวจฉบับใหม่ค่อนข้างให้อำนาจ ผบช.พิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายไว้สูง หากถูก ผบ.ตร.หรือฝ่ายการเมืองล้วงลูก ผบช.มีโอกาสเอาคืนด้วยการฟ้องร้องได้ จึงต้องขอเป็นมติเพื่อให้ ผบ.ตร.ได้ใช้เป็นกำแพงพิง
การขอยกเว้นกฎ กติกา ที่ผ่านมาสร้างความร้าวฉานให้กับองค์กรตำรวจเสมอมา เพราะบรรดาตำรวจที่ขอยกเว้นล้วนแต่มีตั๋วระดับบิ๊กๆ หรือไม่ก็เป็นพวก เครือญาติ ลูก หลาน บิ๊กตำรวจ บิ๊กทหาร บิ๊กรัฐบาลหรือลูกข้าราชการระดับสูง แทบทั้งสิ้น
ซึ่งการขอยกเว้นกฎ กติกา ที่ไม่น่าเกียจจะเป็นลักษณะเช่น ขาดคุณสมบัติแค่ 3 เดือน 6 เดือนหรือ 1 ปี แต่บางยุคอดีตบิ๊กตำรวจเคยขอยกเว้นให้ทายาทแบบค้ำถ่อ 3 ปี นำเพื่อนร่วมรุ่นแบบไม่เห็นฝุ่น ไม่แน่ใจว่าปูทางเพื่อให้นั่งตำแหน่งเจ้าสำนักปทุมวันหรือไม่สุดจะคาดเดา
แต่พวกที่ก้าวหน้าแบบขอยกเว้น หากดูประวัติศาสตร์วงการตำรวจ ส่วนใหญ่ก้าวไม่ถึงเจ้าสำนักปทุมวัน ซึ่งไม่รู้ว่าสาเหตุเพราะเวรกรรมที่ข้ามคนอื่นแบบไม่เป็นธรรมหรือไม่ ถึงเกิดสะดุดเมื่อใกล้ถึงเป้าหมาย
ที่ถึงฝั่งฝันมีพอมีบ้าง แต่แบบพิเศษมีเพียงหนึ่งเดียวคือ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ใช้วิชาตัวเบาจนสื่อตั้งฉายาให้เป็นเจ้าแห่งการยกเว้น เพราะจากตำแหน่ง ผกก.-รอง ผบ.ตร.ใช้เวลาเพียง 6 ปีเท่านั้น
ดังนั้นการประชุม ก.ตร.ในวันที่ 28 พฤศจิกายน เพื่อขอมติยกเว้น ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิและโดยตำแหน่งช่วยตรึกตรองดูเนื้อหาให้ละเอียดว่าเกิดประโยชน์ต่อตำรวจส่วนใหญ่หรือไม่
หากเกิดประโยชน์เฉพาะกลุ่มที่ชอบเรียนลัดหรือพวกมีตั๋วพ่วง ไม่ควรปล่อยผ่าน ถ้าปล่อยผ่านเครดิตที่สร้างไว้สูงในการแต่งตั้ง รอง ผบ.ตร.-ผบก.จะถดถอย ไร้ความน่าเชื่อถือทันที
ยิ่งมีข่าวสะพัดว่า ก.ตร.บางคนส่อดีแตก เนื่องการแต่งตั้งโยกย้าย รอง ผบก.-สารวัตร มีตั๋ว ก.ตร.ปลิวว่อนไม่แพ้ตั๋วการเมือง จะเข้าทำนองต่างตอบแทน
การยกเว้นกฎ กติกา เหมือนดาบสองคม หากผู้ใช้ไร้หลักการเอื้อแต่พวกตัวเอง รวมใช้เป็นช่องทางเพิ่มตำแหน่งให้ฝ่ายการเมืองเพื่อเอาใจคนชั้น 14 เอาใจนายกฯ และช่วยเพิ่มความสมหวังให้ สส.เพื่อไทย ผลเสียจะตกแก่องค์กรและประชาชน
แต่ถ้าใช้ด้วยการยึดส่วนรวมเป็นหลักจะเป็นผลดีต่อองค์กร ทำให้ตำรวจเกิดความสามัคคีเพราะความเป็นธรรมเกิดจะกลายเป็นผลดีต่อประเทศชาติและประชาชน เหตุการณ์แบบ เสี่ยแป้ง นาโหนด ออกคลิปมาแฉจะไม่เกิด
จึงได้แต่หวังว่า ก.ตร.คงพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่ลงมติให้ยกเว้นกฎ กติกา เมื่อผ่านแล้วเชื่อว่ามั่น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล พิจารณาใช้อย่างตรงไปตรงมา เพื่อปิดช่องว่างไม่ให้ฝ่ายการเมืองมาล้วงลูก
แต่ถ้า ก.ตร.ปล่อยผ่านแบบไร้การพิจารณาเสียงนินทาต่างตอบแทนคงดังกระหึ่ม และถ้า ผบ.ตร.ใช้แบบเอื้อประโยชน์พวกพ้องและเอาใจฝ่ายการเมือง ฉายาเจ้าแห่งการยกเว้น จะเคียงคู่ไปจวบจนเกษีษณอายุ !!!
