“ฉายภาพส่วยรถบรรทุก ทุกรัฐบาลแก้แบบไฟไหม้ฟาง ชาวบ้านจำใจแบกภาระ”

1059

 

ประเด็นสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุกถูกจุดพลุดรามาขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง เมื่อรถบรรทุกขนดิน จากไซด์งานก่อสร้างคอนโดมิเนียมในซอยสุขุมวิท64/2วิ่งมาถึงถนนหน้าซอยสุขุมวิท 64/1วิ่งผ่านแผ่นคอนกรีตปิดปากบ่ออุโมงค์ร้อยสายไฟและสายสัญญาณทรุดตัวติดคาปากท่อส่งผลให้คนขับรถแท็กซี่และพนักงานไรเดอร์ขับตามมา บาดเจ็บ 2 คนส่งผลให้จราจรติดขัดกว่า 10 ชั่วโมง เหตุเกิดช่วงเที่ยงวันที่ 8 พฤศจิกายน

                 สังเกตเห็นหน้ากระจกหน้ารถมีสติ๊กเกอร์รูปดาวสีเขียวมีสัญลักษณ์ภาษาอังกฤษตัวB หลายฝ่ายต่างฟันธงว่าเป็นสัญลักษณ์จ่ายส่วยเพื่อวิ่งนอกเวลาและบรรทุกน้ำหนักเกินกฎหมายกำหนด

               ซึ่งนายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งแห่งประเทศไทยให้ความเห็นว่าบริเวณหน้ารถมีสติ๊กเกอร์รูปดาวเขียวติดอยู่เป็นรถที่จ่ายส่วยเพื่อวิ่งนอกเวลาและบรรทุกน้ำหนักเกินต้องจ่ายให้หลายหน่วยงานเพื่ออำนวยความสะดวก เพราะในกรุงเทพฯมีสี่แยกจำนวนมากจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ หากไม่มีสติ๊กเกอร์จะถูกเรียกตรวจสอบทุกจุด

          ความเห็นของนายอภิชาต สอดคล้องกับพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่เพราะหากไม่รับส่วยคงจะดำเนินการตามกฎหมายแบบทันท่วงทีแต่กลับปล่อยเวลายืดยาวถึง 30 ชั่วโมงถึงจะชั่งพิสูจน์ว่าบรรทุกน้ำหนักเกิน 25 ตัน รวมถึงการจี้ให้อายัดดินที่ตักออกจากรถ เป็นต้น

          จากปรากฏการณ์ดังกล่าวตำรวจกลายเป็นเป้าสำคัญที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จน พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาต(ผบ.ตร.)แสดงอาการหงุดหงิดเมื่อถูกถามประเด็นสติ๊กเกอร์ส่วยว่าตำรวจเกี่ยวข้องหรือไม่ ?

       การสอบสวนของตำรวจจะจบแบบไหน ผู้ประกอบการจ่ายส่วยให้หน่วยงานไหน และจะเอื้อประโยชน์เพื่อไม่ให้ถูกยึดรถบรรทุกด้วยการให้คนขับเป็นผู้เช่ารถหรือไม่ คงต้องผลการสอบสวนของตำรวจว่าจะออกมาแบบจัดการเด็ดขาดหรือเอื้อประโยชน์ให้เจ้าของรถ

    หากมองประเด็นสติ๊กเกอร์ส่วยรถบรรทุก จะพบว่ามีมายาวนานแล้วเกือบทุกรัฐบาลจะแก้ปัญหาแบบไฟไหม้ฟาง แต่ที่เห็นชัดเจนถึงความพยายามที่จะแก้ปัญหาในยุคที่นายเสนาะ เทียนทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ยุคนั้นสื่อมวลชนหลายสำนักตีแผ่ขบวนการหาผลประโยชน์จากรถที่บรรทุกน้ำหนักเกิน จนนายเสนาะเสนอให้เป็นกฎหมายเพิ่มน้ำหนักเป็น 28 ตัน จนได้ฉายา”เสนาะ 28ตัน”เมื่อหมดยุคนายเสนาะเรื่องเงียบหายไปขบวนการสติ๊กเกอร์ยังดำรงอยู่แบบปกติ

กระทั่งมาถึงช่วงที่พรรคก้าวไกลเป็นนำเดินเกมจัดตั้งรัฐบาล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีพรรคก้าวไกล จุดพลุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการรถบรรทุก เดินหน้าเก็บข้อมูลหวังจะจัดการให้เด็ดขาด หากพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล แต่พ่ายเกมชวดเป็นรัฐบาลข่าวคราวเงียบหายไป


แต่สติ๊กเกอร์ส่วยมาดังเป็นพลุแตกอีกรอบเมื่อเกิดเหตุยิงสารวัตรทางหลวงตายในบ้านนายประวีณ จันทร์คล้ายหรือกำนันนก ท่ามกลางเสียงครหาว่ามีการเคลียร์ปัญหาส่วยรถบรรทุก ผู้ตายไม่ยินยอม ตำรวจชุดแรกที่เข้าสางคดีได้หลักฐานบัญชีส่วยอยู่ในมือ เมื่อคดีถูกโอนให้อีกชุดปมส่วยไร้ความเคลื่อนไหว


 พอเกิดเหตุกลางกรุงเจอสติ๊กเกอร์หน้ากระจก บ่งบอกได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องยังรับส่วยตามปกติไม่เคยเปลี่ยน ภาระการจ่ายส่วยไม่ได้เป็นภาระที่ผู้ประกอบการแบบรับ มีแต่ไปตกอยู่ที่ชาวบ้านแบบเต็มๆ

  ผู้ประกอบรถบรรทุกรายหนึ่งเล่าว่าส่วยที่จ่ายไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด เพราะได้ผลักภาระไปให้ผู้บริโภคทั้งหมด ยกตัวอย่างผู้ใช้บริการอยู่ย่านมีนบุรีต้องการถมดินเพื่อสร้างบ้านราคาจะแพงกว่าในต่างจังหวัด เพราะต้องบวกราคาจากการจ่ายส่วยให้หลายหน่วยงาน เช่นถ้าบรรทุกดินจากพื้นที่ อ.ลำลูกกา ปทุมธานี  ผ่านถนนที่ตำรวจทางหลวงรับผิดชอบ ผ่าน สภ.ลำลูกกา ผ่านเทศบาลเมืองลำลูกกา ผ่านสน.นิมิตรใหม่ ผ่านสน.มีนบุรี ทางผ่านเหล่านี้ต้องจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่แทบทั้งสิ้น ขนถึงที่หมายสัก 2-3 รอบ จะมีเจ้าหน้าที่เทศกิจมาเจรจาเรื่องความสะอาด บางครั้งมีตำรวจสายตรวจ 191 มาร่วมแจมด้วย แต่ที่พลาดไม่ได้คือเจ้าหน้าที่กรมการขนส่ง มาร่วมด้วยช่วยกัน

  “ถ้าหากไม่อยากเคลียร์เองจะมีนายหน้ารับเคลียร์ทุกหน่วยที่รถแล่นผ่าน พร้อมมอบสติ๊กเกอร์ให้ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ผู้ประกอบการจะบวกเป็นค่าทุนไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าในต่างจังหวัดจะจ่ายน้อยกว่ากรุงเทพฯเพราะเส้นทางผ่านเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่หน่วย”

ผู้ประกอบการบอกและว่าเหตุรถบรรทุกท่อที่สุขุมวิท เจ้าของธุรกิจคอนโดมิเนียมต้องบวกเป็นทุนไว้เรียบร้อยแล้ว ผู้ซื้อแบบภาระแบบเต็มๆ

  ดังนั้นถ้า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี อยากแก้ปัญหาสติ๊กเกอร์เปรียบเสมือนชั่วร้ายให้จบแบบหมดจดถาวร ต้องนั่งหัวโต๊ะ ตั้งคณะกรรมการที่มีอำนาจสั่งการ ขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วย กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการแบบบูรณา จัดการแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ใช้ยาแรงเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องรวมถึงบรรดานายหน้าเคลียร์สติ๊กเกอร์ส่วย ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างสัก2-3 ตัวอย่าง น่าจะแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง

   ซึ่งปัญหาผลักภาระให้ผู้ซื้อนายเศรษฐา ในฐานะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ย่อมจะทราบดี ถ้าทำสำเร็จถือว่าเป็นบุญของชาวบ้านที่ได้ปลดแอกแบกรับภาระส่วยเสียที !!!