จาก”เสี่ยแม้ว”ถึง”เสี่ยแป้ง”สะท้อนกลไก”กระบวนการยุติธรรม”ทรุดหนัก..!!!

958


               ในห้วงเวลานี้บุคลากรในแวดวงกระบวนการยุติธรรม กำลังถูกสังคมจับจ้องถึงการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะขาดศักยภาพและเลือกปฏิบัติ เสมือนตอกย้ำความรู้สึกว่าคุกมีไว้ขังคนจน คนด้อยโอกาสและคนไร้ซึ่งเงินและอำนาจ

             มีตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจนคือ กรณีของนักโทษชาย(น.ช.)ทักษิณ ชินวัตร และน.ช.ชวลิต ทองด้วง ฉายา แป้ง นาโหนด นักโทษคดีอุจฉกรรจ์ ผู้กว้างขวางในจังหวัดพัทลุงและพื้นที่ใกล้เคียง

            โดยกรณีของ น.ช.ทักษิณ นับแต่บินกลับมารับโทษเป็นเวลากว่า 2 เดือน หลังศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุกแล้วเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์คุมตัวไปที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไม่ทันข้ามคืนเกิดป่วยกะทันหัน ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ

             เมื่อถึงโรงพยาบาลตำรวจ ด้วยความเก่งของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ สามารถตรวจร่างกาย น.ช.ทักษิณ เจอสารพัดโรค

            ทั้งที่ก่อน น.ช.ทักษิณ จะบินกลับมารับโทษได้โชว์ความฟิตของร่างกายผ่านสื่อโซเซียลให้เห็นอยู่ในบ่อยครั้ง แม้แต่ก่อนหาเสียงเลือกตั้ง ส.ส.ได้โชว์ไอเดียถึงนโยบายของพรรคเพื่อไทยผ่านสื่อโซเซียลเป็นประจำ ว่าหากเลือกพรรคเพื่อไทยแบบแลนด์สไลด์จะนำพาประเทศไปทิศทางไหน

          แต่เมื่อกลับประเทศแทบจะไม่ได้ย่างก้าวเข้าไปในคุก ร่างกายกลับย่ำแย่สารพัดโรครุมเร้า เมื่อถูกถามถึงอาการจากแพทย์โรงพยาบาลตำรวจกลับไม่สามารถบอกได้ โดยอ้างว่าเป็นความลับของผู้ป่วยไม่สามารถปิดเผยได้

          ขณะที่กรมราชทัณฑ์ อยู่ในอาการ บื้อ บอด ใบ้ เมื่อถูกกลุ่มมวลชนทวงถามว่าจะคุมตัวน.ช.ทักษิณกลับไปขังคุกได้เมื่อใด ทำได้แต่เพียงโบ้ยไปว่าอยู่ที่การวินิจฉัยของแพทย์

      วันดีคืนดีเพื่อยืนยันว่าน.ช.ทักษิณ ป่วยจริง แพทย์โรงพยาบาลตำรวจเข็นน.ช.ทักษิณ ไปตรวจอาการด้วยระบบคอมพิวเตอร์พร้อมกับมีภาพปรากฏให้สารณะชนเห็น จนถึงสังคมครหาว่าแสดงละครได้สมจริง

      จนโรงพยาบาลตำรวจถูกสังคมโซเซียลด้อยค่าว่าเก่งในการตรวจโรค แต่ไม่เก่งรักษาโรคเพราะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว อาการน.ช.ทักษิณยังรักษาไม่หาย

       ทางกลับกันห้วงที่ น.ช.ทักษิณ รักษาตัวอยู่กลับเสียงนินทาที่แสดงถึงบุคคลผู้มากบารมีว่า แม้แต่การจัดโผรัฐมนตรีรวมถึงการแต่งตั้งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยังต้องผ่านความเห็นจากชั้น 14 ด้วยซ้ำ

     จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่กลุ่มมวลชนต่างๆบุกไปทวงถามอาการถึงกระทรวงยุติธรรมและโรงพยาบาลตำรวจ ถึงไร้คำตอบจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

      ส่วนกรณีของเสี่ยแป้ง ที่หลบหนีขณะรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช สะท้อนถึงความหละหลวมของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ อย่างชัดเจน

       เพราะก่อนที่ผู้คุมเรือนจำนครศรีธรรมราช คุมตัวเสี่ยแป้งไปรักษา มีเสียงเตือนจากผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุงแล้วว่าให้ระวัง เพราะเป็นนักโทษอุฉกรรจ์มีอิทธิพลสูง ช่วงที่เสี่ยแป้งเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลพัทลุง ตำรวจต้องจัดชุดพิเศษไปดูแลเพราะเกรงจะหลบหนี

    หลังเสี่ยแป้งหลบหนี มีการวิจารณ์ว่าผู้คุมบางคนรู้เห็นเป็นใจ เพราะโซ่ตรวนที่พันธนาการเป็นแบบธรรมดาสะเดาะง่าย ใช้กับนักโทษธรรมดาที่โทษน้อย แถมยินยอมให้ญาติเฝ้าได้อีกต่างหาก

    เวลาทอดยาวมากว่า 15 วัน การไล่ล่าเสี่ยแป้งยังคว้าน้ำเหลว ส่งผลให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์นั่งแทบไม่ติดเก้าอี้ถึงขั้นประกาศให้รางวัลนำจับถึง 1 ล้านบาท จัดว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ของกรมคุก

   ขณะที่การไล่ล่าตำรวจจับกุมสมุนได้เป็นระยะ แต่ยังไร้เงาเสี่ยแป้ง จนมีข่าวลือออกมาว่าหลบหนีไปดบดานที่มาเลเซียหรือเมียนมา ประเทศใดประเทศหนึ่ง

  แม้จะยังตามจับไม่ได้กลับมีความเคลื่อนไหวของสมุนเสี่ยแป้ง เหิมเกริมถึงขั้นส่งจดหมายข่มขู่อัยการ ในลักษณะว่า”เอาเงินที่มึงได้มา คืนให้พี่แป้งด้วย มึงหักหลังทีมงานกู จะยิงให้แว่นมึงทะลุ”ลงท้ายด้วยรูปปืนสั้นและคำว่าตาย

  ในเนื้อหาของจดหมายพออนุมานได้ว่าอาจจะมีการวิ่งเต้นเรื่องคดี แต่ข้อเท็จจริงเป็นประการใดสุดจะคาดเดา สังคมอาจจะมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ เพราะถ้าไม่จริงคงไม่กล้าข่มขู่ แต่ทางอัยการออกมายืนยันถึงความบริสุทธิ์พร้อมแจ้งความเอาผิดกับผู้ส่งจดหมายแล้ว

  เมื่อมองในภาพรวมกรณีเสี่ยแป้งหลบหนี มีกลิ่นอายการจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่รัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเจ้าหน้าราชทัณฑ์ มักมีกลิ่นอายนี้ปรากฏทุกครั้งที่นักโทษอุจฉกรรจ์หลบหนี

   ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าตำแหน่งบางตำแหน่งในกรมราชทัณฑ์ต้องจ่ายปัจจัยถึงจะได้มา ย่อมถอนทุนคืนเป็นเรื่องปกติ

      เมื่อเอาทั้งสองกรณีมาต่อจิ๊กซอร์ เป็นภาพใหญ่ พอมองได้ว่าบุคคลากรในแวดวงกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำมีพฤติกรรมที่เสื่อมทรุด ยอมรับใช้ผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพลและเงินตรา เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง จนลืมผดุงความเป็นธรรมให้กับประชาชนที่ยากไร้และด้อยโอกาส

    จึงอยากให้รัฐบาลที่กำลังเดินหน้าแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปราบปรามยาเสพติดและผู้มีอิทธิพล ช่วยหันกลับมาปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบด้วย

      หากปล่อยผ่านวางเฉยอาจจะกลายเป็นปัจจัยสำคัญทำให้สังคมที่แตกแยกเพราะไร้ซึ่งความยุติธรรมอยู่แล้ว จะแตกแยกร้าวลึกจนเกินจะเยียวยาก็เป็นได้ !!!