“ทนายอนันต์ชัย”รับว่าความให้”รองฯโจ๊ก”ปมถูกค้นบ้านโดยมิชอบ

475

“ทนายอนันต์ชัย”รับหน้าที่ดูแลคดีให้ รองฯโจ๊ก ปมถูกตำรวจนำหมายศาลบุกค้นบ้านโดยมิชอบ รวมถึงหมายจับ8ตำรวจลูกน้องถูกกล่าวหาพัวพันเว็บพนันออนไลน์

วันที่ 27 ก.ย.66 ที่สโมสรตำรวจ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมาที่ สโมสรตำรวจ ถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อแถลงเปิดตัวการเป็นทนายความให้กับ พล.ต.อสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยก่อนการแถลงทนายอนันต์ชัย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่าเมื่อคืนได้รับการติดต่อจาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลใน 2 ส่วน โดยส่วนแรกคือดูแลเรื่องของกรณีที่มีบุคคลไม่หวังดีมากลั่นแกล้ง รวมไปถึงเรื่องของการค้นบ้านพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ส่วนที่ 2 คือเรื่องของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่โดนออกหมายจับ 8 คน ซึ่งจะต้องมาดูกันว่าส่วนไหนมีข้อพิรุธ แต่ถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่ามีความผิด ก็ว่าไปตามผิด จะไม่ปกป้องคนทำผิดอย่างเเน่นอน

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ตนเคยเป็นทนายความของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช อดีตผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติ มาก่อน ซึ่งเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสมัยของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ในสมัยที่ตนเป็นทนายความให้ด้วย มองว่าหนักกว่าตอนนี้อีก จึงรู้สึกไม่หนักใจ เบื้องต้นก็ได้พูดคุยกันในทีมทนายเเล้ว ว่าแล้วหลังจากนี้การให้สัมภาษณ์ใดๆก็ตาม จะต้องผ่านทีมทนายความเท่านั้น เพื่อรักษาภาพลักษณ์ เเล้วไปสู้กันในศาล

ทั้งนี้ ตนเองตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใด เหตุการณ์นี้ต้องมาเกิดก่อนที่จะมีการเลือกผู้บัญชาการตำรวจเเห่งชาติคนใหม่ ตนเชื่อว่าประชาชนหรือแม้กระทั่งเด็กอนุบาลก็น่าจะมองออกว่า ปฏิบัติการค้นบ้านมีเจตนาอะไร และการออกหมายค้นก็มองว่าไม่ปกติ เพราะท่านมีตำแหน่งเป็นถึงรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นอกจากนี้การเอาหน่วยคอมมานโดบุกไปที่บ้าน เป็นเรื่องที่ไม่สมควร และตนไม่เชื่อว่าตำรวจที่ไปค้นบ้าน จะไม่รู้ว่าเป็นบ้านของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ดังนั้นการกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกลั่นเเกล้ง ดิสเครดิตอย่างเเน่นอน หน้าที่ของตนคือจะต้องทำความจริงให้ปรากฏ ทั้งต่อศาลและสาธารณชน

“ณ วันนี้เรื่องเก่าของบิ๊กโจ๊กผมไม่เกี่ยว แต่เรื่องนี้ท่านถูกรังแก จึงต้องทำความจริงให้ปรากฏ ถ้าอึมครึมอยู่ ชื่อเสียงเกียรติยศป่นปี้หมด และในฐานะที่เป็นทนายความ ถือเป็นเหรียญสองด้าน ทั้งโจทย์และจำเลย หน้าที่ของทนายความคือทำความจริงให้ปรากฏต่อศาลและต่อสาธารณชน”

ส่วนเรื่องที่มีภาพ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ปรากฎร่วมกับ”มินนี่” เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ แล้วถูกนำมาโยงกันนั้น ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า การเป็นบุคคลสาธารณะ เวลาจะเดินทางไปที่ไหนย่อมมีคนมาขอถ่ายรูปเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งคนที่มาขอถ่ายรูป หรือร่วมเฟรมภาพ อาจจะมีทั้งคนดีรวมไปถึงคนที่ทำผิดกฎหมายปะปนกันไป ดังนั้นการที่ถ่ายรูปกับคนที่กระทำผิดกฎหมายก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความผิดไปด้วย เพราะการกระทำความผิดจะต้องดูที่เจตนาไม่ใช่การถ่ายรูป

“การที่ท่านสุรเชษฐ์ไปร้องเพลง ไปถ่ายรูป รวมถึงที่มีดาราไปถ่ายรูป แล้วจะชั่วไปด้วยมันไม่ใช่  อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะคดีอาญาให้ดูที่เจตนา ว่ากระทำความผิดจริงหรือไม่ ตามมาตรา 59 ไม่ใช่ดูที่การถ่ายรูป”

นอกจากนี้อย่าขอเอาเรื่องของลูกน้อง ที่กระทำผิดมารวมกับผู้บังคับบัญชา เพราะการที่ลูกน้องทำผิดไม่ได้หมายความว่าผู้บังคับบัญชาจะทำผิดด้วย เพราะเรื่องเส้นทางการเมืองทั้งหมดนั้นตนเองทราบหมดแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม และเรื่องนี้ตนเองจะไม่ให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์พูดอีกแล้วทนายความจะเป็นผู้พูดแทน

ทนายอนันต์ชัย ได้ย้ำความมั่นใจว่า ว่า”ไม่ต้องกลัว งานนี้ผมเอาอยู่” และจะขอเปลี่ยนฉายาให้พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ใหม่ จาก”โจ๊กหวานเจี๊ยบ” เป็น”โจ๊กอัคนี”สื่อถึงเปลวเพลิงที่เผาทุกสิ่งทุกอย่าง เเละมีความเเข็งเเกร่ง ส่วนกรณีการเช็คบิล ตนเองจะมีการตั้งวอร์รูม ทีมทนายความขึ้นมา และดูการให้สัมภาษณ์ของแต่ละบุคคลผ่านสื่อ รวมถึงดูประเด็นต่างๆทั้งระบบ หากพบว่าใครที่พาดพิง ก็จะมาพิจารณาว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีหรือไม่

ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ได้แต่งตั้งให้นายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นทนายความส่วนตัว ตลอดจนดูแลคดีของลูกน้องที่ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย ซึ่งหลังจากนี้ทนายอนันต์ชัยจะเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามเรื่องของคดีความต่างๆ ด้านลูกน้องที่ออกมาจากศาล 4-5 ทุ่มเมื่อคืนยังไม่ได้คุยรายละเอียดอะไร โดยจะมีการนัดหมายให้ไปพูดคุยที่สำนักงานทนายความของทนายอนันต์ชัยภายหลัง

นอกจากนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้ให้ทนายความเดินทางไปที่ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ เพื่อยื่นไต่สวนเจ้าหน้าที่ในการขอหมายศาล ซึ่งเขาข่ายการละเมิดศาล เพราะหมกเม็ดไม่แจ้งยศตำแหน่งของตำรวจ และการออกไม้ศาลที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องไปดำเนินการที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ไม่ใช่ศาลอาญากรุงเทพฯใต้ที่ไม่บอกยศตำแหน่งและนำตำรวจไปขอหมายรวมกับพลเรือนนับว่าเป็นการหลอกศาล

ส่วนกรณีของสารวัตรนนท์ นายตำรวจผู้ติดตามที่มีการออกหมายจับตั้งแต่วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ซึ่งสารวัตรนนท์จะกลับไปนอนที่แฟลตตำรวจพญาไททุกวัน และมีหน้าที่รับ-ส่ง ตนเองที่บ้านพักภายในซอยวิภาวดี 60 เท่านั้น แต่ในระหว่างที่สารวัตรนนท์กลับไปพักที่แฟลตช่วงเสาร์- อาทิตย์ กลับไม่มีการตรวจค้นและจับกุม แต่กลับมาจับที่บ้านพักตน

สำหรับในประเด็นการทำงานของตำรวจที่ไปขออนุมัติหมายค้นโดยมิชอบ ต่อไปจะเสียความเชื่อมั่นในการสอบสวน และตำรวจจะทำงานยากขึ้น เพราะจะถูกถ่ายโอนอำนาจไปยังหน่วยงานอื่น ตำรวจจะมีหน้าที่แค่จับกุม และหน่วยงานอื่นจะทำหน้าที่สอบสวนแทน ซึ่งก็จะเกิดความซับซ้อนในการทำงานของตำรวจ

นอกจากนี้ รองผบ.ตร.ยังตอบคำถามเรื่องการให้เงินนักข่าว ซึ่งตนทราบว่ามีการตรวจสอบเส้นทางการเงินไปถึงนักข่าวคนสนิท 4 คน ได้เปิดเผยรายชื่อ คือ มะลิ และ เค ว่ามีการให้เงินครั้งละ 10,000 บาทในการเกาะติดลงพื้นที่ไปทำข่าวต่างๆ ซึ่งก็ทราบดีอยู่แล้วว่าสถานีมีเงินให้นักข่าว แต่เงินส่วนนี้ที่มอบให้ไม่ใช่เงินจากเว็บพนันเป็นเงินส่วนตัว บริสุทธิ์ใจที่จะมอบให้เป็นสินน้ำใจ เพราะทราบว่าเงินเดือนนักข่าวก็ไม่ได้มากมายอะไร

สำหรับกรณีที่มีตนบอกว่ามีข้อมูลเชิงลึกมากมาย แต่ไม่อยากเปิดเผย เพราะจะตายกันหมด ไม่ได้เป็นการข่มขู่ เนื่องจากไม่ต้องการทุบหม้อข้าวหม้อแกง หากมีการเปิดเผยก็จะทำให้วงการตำรวจเสียหายและระดับผู้กำกับการก็จะอยู่กันลำบาก

นอกจากนี้ เมื่อเวลา 11.40 น.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผบก.ศฝร.บช.น. 1 ใน 8 ลูกน้องของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ที่ถูกออกหมายจับและได้รับการประกันตัวต่อศาลเมื่อวานนี้ ได้เดินทางเข้าภายในอาคารสโมสรตำรวจ เพื่อเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดยผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เจ้าตัวระบุสั้นๆ ว่าไม่มีอะไรครับ และไม่กังวลใดๆ ทั้งนี้ เจ้าตัวสวมเสื้อยืดสีขาว คอปกสีฟ้าพร้อมกับถือแท็บเลตเหน็บข้างกาย ก่อนรีบสาวเท้าเข้าห้องพนักงานสอบสวน โดยไม่ตอบคำถามใดๆกับสื่อมวลชนอีก ซึ่งผู้สื่อข่าวสังเกตด้วยว่าเจ้าตัวมีสีหน้าผ่อนคลาย ไม่พบความเครียดหรือความวิตกกังวลผ่านใบหน้า

#thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์