“เจาะแฟ้มเครือข่ายยา โยงพวกมีสี (ตอน1) แนะนายกฯล้างบ้าน-ขจัด ขรก.นอกลู่ คาดนโยบาย”1 ปียาลด-4 ปีหมด”เข้าเป้า
                               

3599

ชาวบ้านต้องปรบมือแบบรัวๆให้กับนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ที่ดันการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมนั่งหัวโต๊ะบัญชาการด้วยตัวเอง หลังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาผ่านไปเพียง 4 วัน

   โดยวางแนวทางต้องจัดการผู้ค้าแบบเด็ดขาด เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วยนำเข้าบำบัด สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้ายึดทรัพย์อย่างจริงจัง สกัดตามแนวชายแดนทุกเส้นทางที่ยาเสพติดทะลัก จัดว่าเป็นการบ้านข้อยากพอๆกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสำหรับรัฐบาล

   เพราะนับแต่เผด็จการทหารยึดอำนาจและกลายร่างมาเป็นรัฐบาลมาจากการเลือกตั้งกว่า 8 ปี การแพร่ระบาดของยาเสพติดมิได้ลดลงแต่อย่างใด เพราะผลการจับกุมแต่ละครั้งยึดของกลางยาบ้าหลายล้านเม็ด ยาไอซ์หลายตัน รวมถึงยาเสพติดประเภทอื่นๆ

  ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 กันยายน นายกรัฐมนตรีเป็นประธานเผาทำลายยาเสพติดของกลางหนักถึง 25 ตัน พร้อมตั้งเป้าภายใน 1 ปีปัญหายาเสพติดต้องลดลงและต้องหมดภายในรัฐบาลนี้”

  เป้าหมายที่นายกรัฐมนตรีวางไว้ขอตั้งเป็นปุจฉาวิสัชนาว่าเป็นโจทย์ยาก เพราะขบวนการค้ายาเสพติดในปัจจุบันก่อตั้งเป็นองค์กรใหญ่ มีเครือข่ายกว้างขวางแทรกซึมอยู่ในทุกวงการทั้งในและต่างประเทศ มีผลประโยชน์มหาศาลที่สามารถบันดาลได้ทุกทางเพื่อธุรกิจค้ายารุดหน้า แม้แต่แวดวงข้าราชการ ก็มีข้าราชการบางกลุ่มบางคนคอยเป็นมือเป็นไม้ให้

  ขอยกตัวอย่างเครือข่ายยาเสพติดของนายเฉิน สมาชิกในแก๊งที่เป็นผู้ปฏิบัติเล่าให้เจ้าหน้าที่รัฐที่ทำหน้าที่ขยายผลเพื่อให้สาวให้ถึงตัวการใหญ่ว่าแค่ปีเดียวมีการลำเลียงยาเสพติดบิ๊กล็อตถึง 3 ครั้ง

  ครั้งแรกประมาณเดือนสิงหาคม 2562 ผู้ต้องหาเล่าว่า”ได้ชักชวนให้นายตั้ม(นามสมมุติ)ให้ขับรถลำเลียงยาไอซ์ ประมาณ 1,100 กิโลกรัม จาก อ.พบพระ จ.ตาก ด้วยรถบรรทุก 22 ล้อ สีชมพู ทะเบียนสมุทรปราการ โดยเช่าจาก นายญา(นามสมมุติ) ขับไปจอดไว้ที่ นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นคนขับได้โทรศัพท์แจ้ง ทางผมโทรศัพท์แจ้งเจ้านาย จากนั้นมีนายควร(นามสมมุติ)มารับยาเสพติดไปจำหน่าย

ครั้งที่ 2 ผู้ต้องหาเล่าว่า ประมาณเดือนกันยายน 2562 ได้ประสานให้นายรัก(นามสมมุติ) ลำเลียงยาบ้า ประมาณ 3,000 มัด ยาไอซ์ 2 กระสอบ ซุกซ่อนอำพรางกับข้าวโพด โดยจัดเตรียมซื้อข้าวโพดใน ต.ดอกคำใต้ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา ไปส่งที่โกดังเช่าไว้ ที่ อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา

ครั้งที่ 3 ผู้ต้องหาเล่าว่า”ประมาณเดือนตุลาคม 2562 ได้ว่าจ้างนายดำ(นามสมมุติ) โดยนายดำสั่งให้นายสม(นามสมมุติ) ขับรถบรรทุกพ่วงทะเบียนนครปฐม ลำเลียงยาเสพติดยาไอซ์ จากพื้นที่ อ.พบพระ จ.ตาก ไปยังจ.พระนครศรีอยุธยา

 ก่อนลำเลียงมีการนำรถบรรทุกพ่วงมาจอดที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จากนั้นขับรถบรรทุกพ่วงไปขนยาเสพติดในพื้นที่ อ.พบพระ ระหว่างเดินทาง ถูกตำรวจที่ด่านตรวจห้วยยะอุ อ.แม่สอด จ.ตาก จับกุมตำรวจตรวจค้นพบยาไอซ์ของกลางจำนวน 1,500 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในช่องลับบริเวณใต้พื้นกระบะบรรทุก  

  เมื่อรับแจ้งว่าถูกจับกุมผมได้ขับรถกระบะทะเบียนกรุงเทพมหานคร หลบหนีไปที่ อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี จากนั้นได้ติดต่อเจ้านายโดยแจ้งว่างานลำเลียงยาเสพติดเกมส์เพราะถูกจับกุม ทางเจ้านายได้ประสานกับนายโก้ ทหารกะเหรี่ยง ดูแลพื้นที่ฝั่งตรงข้ามด่านเจดีย์สามองค์ อ.สังขละบุรี เป็นผู้ประสานลักลอบพาผมข้ามไปประเทศเมียนมา พร้อมติดต่อบ้านเช่าในพื้นที่บ้านซุ้มกะเหรี่ยงให้กบดาน”

 ผู้ต้องหาเล่าอีกว่า”เจ้านายจะมีตัวแทนเป็นเจ้าของร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราหลังตลาดเมียวดีเป็นผู้ถือบัญชีเงิน ส่วนการเคลียร์เส้นทางเป็นคนไทยชื่อเจ๊ลิน(นามสมมุติ) ทำการค้าบริเวณชายแดนแม่สอดและฝั่งพม่าจะมีโกดังข้าวโพดและโรงไม้ เคลียร์เส้นทางแบบรถวิ่งพืชผลทางการเกษตร ลงมาตาก พบพระ และเมียวดี ผ่านเส้นทางสาย 107 เคลียร์จ่ายเป็นรายเดือนๆละ 15 ล้านบาท ถ้ารายใหญ่คิดเที่ยวละ 15 ล้านบาท จะมีสติ๊กเกอร์ของบริษัทที่เคลียร์เส้นทางให้พร้อมกับแจ้งทะเบียนรถกับเจ๊ลิน ก่อนวิ่งจะมีนัดเคลียร์กับบุคคลที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจจากส่วนกลาง ที่ เมียวดีคอมแพ็ค จะรับเป็นเงินสดประจำทุกเดือนระหว่าง 5-10 ล้านบาท มีระดับบิ๊กกองกำลังพิทักษ์ชายแดนพม่าบางคน เป็นคนคุม ผู้พันพม่าเป็นกำลังคุ้มกัน”

    นี่เป็นข้อมูลบางส่วนที่เป็นคำบอกเล่าของผู้ต้องหาข้อเท็จจะเป็นประการใดและผู้ต้องหาเล่าให้ทีมสืบสวนขยายผลฟังหวังเพียงเพื่อให้ตัวเองได้บรรเทาโทษหรือไม่สุดจะคาดเดาได้.?

    แต่คำบอกเล่ามีการเก็บไว้เป็นแฟ้มลับเสนอผู้บังคับบัญชาไปแล้ว แต่จะถูกเก็บซุกหรือผู้บังคับบัญชาจะสั่งการให้นำไปขยายผลหรือก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ

  แต่ที่นำเสนอเพียงเพื่อจะสะท้อนให้เห็นว่าองค์กรค้ายาเสพติดมีเครือข่ายที่กว้างขวางครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญถ้าไม่มีเจ้าหน้ารัฐรู้เห็นเป็นใจคอยรับผลประโยชน์อยู่ด้วย องค์กรค้ายาเสพติดคงไม่เติบโตจนประเทศไทยกลายเป็นตลาดยาเสพติดที่สำคัญในภูมิภาคนี้

  ดังนั้นที่ตั้งปุจฉา-วิสัชนา ว่าเป็นการบ้านข้อยากของรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ไม่เกินเลยไปนัก ถ้านายเศรษฐา มุ่งหวังให้นโยบายบรรลุเป้าต้องล้างบ้านจัดการข้าราชการนอกแถวให้เสร็จโดยพลัน ก่อนเปิดยุทธการ (อ่านต่อพรุ่งนี้…!!!)

#ทีมสกู๊ปข่าว สำนักข่าวไทยแทบลอยด์