เชือด”พิธา”เกมรักษาอำนาจ?
กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเดือดสุดๆ #กกต.มีไว้ทำไม”ขึ้นเทรนด์ฮิตทวิตเตอร์
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)มติส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยสมาชิกสภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด(มหาชน) มีเหตุสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 101(6)ประกอบมาตรา 98(3)พร้อมกับขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งมาพร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของหลายภาคส่วนว่าเลือกปฏิบัติ อาทิ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาคณะก้าวหน้าระบุ”หนังม้วนเก่ากำลังกลับมาฉายซ้ำ” เมื่อ 4 ปีที่แล้วเคยชี้ให้เห็นว่าเกิดกรณีไม่มีมาตรฐานในเรื่องระยะเวลาการพิจารณาของ กกต.”
พร้อมยกตัวอย่างกรณีลักษณะต้องห้ามของนายดอม ปรมัตถ์วินัย กกต.ใช้เวลาพิจารณาส่งศาลรัฐธรรมนูญ 386 วัน ศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลาพิจารณารับคำร้อง 70 วัน และไม่สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และเปรียบเทียบกับกรณี นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ กกต.ใช้เวลา 51 วันส่งศาลรัฐธรรมนูญ ทางศาลรัฐธรรมนูญใช้เวลา 7 วันพิจารณารับคำร้องและสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว
“ผ่านมา 4 ปี หนังม้วนเก่ามาฉายซ้ำ กกต.ใช้เวลาพิจารณาเรื่องนายพิธาแค่ 32 วันแล้วส่งศาลรัฐธรรมนูญ”
ขณะที่ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ชี้ ว่ามีความผิดปกติหลายประเด็น อาทิ กกต.ได้ยกคำร้องการถือหุ้นสื่อของนายพิธาไปแล้ว พอเวลาผ่านไปสองเดือนก่อนวันโหวตเลือกนายกฯไม่กี่วัน เมื่อส.ว.ที่ประกาศไม่โหวตให้นายพิธาไปเร่งรัด กกต.กลับมาพิจารณาใหม่และใช้เวลารวบรัดแค่ 3 วัน โดยไม่เชิญนายพิธาไปชี้แจงหรือให้ข้อมูลแต่อย่างใด
พร้อมตั้งข้อสังเกตเชิงตั้งคำถามว่าเร่งรีบกรณีนายพิธาเพื่อเป็นเหตุผลสำหรับส.ว.ในการไม่โหวตให้กับว่าที่นายกรัฐมนตรีของพรรคอันดับ 1 ที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชนใช่หรือไม่ ?
ขณะที่นายพิธา ก็ติงว่า”กกต.ใช้เวลาพิจารณาคดีหุ้นรัฐมนตรียุคคณะรัฐประหาร 380 กว่าวัน แต่ของผมใช้เวลาแค่ 32 วัน เท่านั้นแถมยังไม่ให้โอกาสชี้แจงอีก”
พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า”รับรู้ว่ามีหลายคนไม่อยากให้ผมเป็นนายกรัฐมนตรีเพราะกลัวเสียผลประโยชน์และสัมปทานที่มีแต่ไม่กล้าพูดตรงๆแล้วเอาสถาบันมาอ้าง หยุดเถอะครับ”
นอกจากนี้ก็มีกลุ่มมวลชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ก็ออกมาชุมนุมประท้วงในหลายพื้นที่ พร้อมเรียกร้องให้ส.ว.โหวตหนุนนายพิธา และนัดไปชุมนุมหน้ารัฐสภาในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้
ขณะเดียวกัน พฤติกรรมการทำงานของกกต.ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งว่ามีการตั้งธง เพราะนับแต่การเลือกตั้งปี 2562 การคิดคะแนน ส.ส.ปัดเศษ ก็ถูกต้องคำถามมากมาย
คนในกกต.บางคนบ่นว่าการทำงานต้องรอคำสั่งลงมาว่าให้ดำเนินการอย่างไร จากนั้นก็นำคำสั่งมาปรับจูนให้เข้ากับข้อกฎหมายแล้วดำเนินการตามธงที่วางไว้
เหมือนกับการทำครั้งนี้เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่าได้รับธงมา เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าฝ่ายกุมอำนาจประเมินแล้วว่า มวลชนที่จะออกมาเคลื่อนไหวไม่มากพอและกำลังเจ้าหน้าที่สามารถรับมือได้
“มวลชนที่จะมาก็มาแบบฉาบฉวย ความอดทนน้อย ไม่ปักหลักค้างคืนเหมือนม็อบเสื้อแดงหรือเสื้อเหลือง มาแล้วก็กลับ ปัจจัยที่จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวก็น้อย การจัดตั้งเป็นไปในลักษณะหลวมๆ แต่จะเคลื่อนไหวผ่านโซเซียลเป็นหลัก”
มวลชนก็จะมีเฉพาะในส่วนของแฟนคลับก้าวไกลและชาวบ้านบางส่วนเท่านั้น ขณะที่มวลชนของเพื่อไทยและแนวร่วมเสื้อแดงจะอยู่ในที่ตั้งมากกว่า เพราะถ้านายพิธาวืด โอกาสก็เป็นของเพื่อไทย ซึ่งฝ่ายอนุรักษ์นิยมต่างเปิดใจรับแล้ว สังเกตได้จากท่าทีของส.ว.กลุ่มปฏิเสธก้าวไกลว่าพร้อมโหวตนายกฯที่มากจากเพื่อไทยโดยไม่มีก้าวไกลร่วมรัฐบาล”
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือการเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนที่ได้รับการสัปทานจากรัฐ ตามที่นายพิธาระบุหลายคนไม่อยากให้เป็นนายกฯเพราะกลัวเสียผลประโยชน์และสัมปทาน ซึ่งในยุคที่ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ทำรัฐประหารในปี 2534 จะมีชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าพ่อดาวเทียมในขณะนั้นตีคู่มาด้วยเสมอ
เช่นเดียวกับยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.ก็จะมีชื่อนายสารัชถ์ รัตนาวดี เจ้าพ่อพลังงานมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของประเทศไทย ตีคู่มาเช่นกัน
พลันที่ กกต.โชว์บทเชือดนายพิธา กลุ่มทุนใหญ่อาทิ หุ้นในกลุ่มกัลฟ์และกลุ่มโรงงานไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มขึ้นแบบยกแผง ก็พอสะท้อนได้ว่าเส้นทางสู่ทำเนียบรัฐบาลของ”พิธา”ถูกปิดประตูลงกลอนในวันที่ 13 กรกฎาคม
ดังนั้นโอกาสที่”พิธา”และพรรคก้าวไกลขึ้นสู่อำนาจตามที่ความมุ่งหวังของประชาชน ดูจะมืดมน เพราะกลุ่มผู้กุมอาจได้วางแผนเคลื่อนไหวผ่านองค์กรอิสระที่รับลูกกันเป็นขั้นเป็นตอน โดยมีส.ว.คอยเป็นตัวชูโรง และรัฐบาลรักษาการเป็นตัวช่วยทั้งงานการข่าวและจัดวางกำลังรับมือม็อบ
หาก”พิธา”และพรรคก้าวไกลคิดจะพลิกเกมมาเป็นฝ่ายชนะก็คงต้องระดมมวลชนเรือนแสนเรือนล้านมาลงถนนเท่านั้น แต่โอกาสคงเป็นไปได้ยากเพราะถึงที่สุดแล้วก้าวไกลอาจจะสู้อย่างโดดเดี่ยวก็เป็นได้
เพราะการเมืองไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร เมื่อผลประโยชน์ลงตัวก็ผสมพันธุ์กันได้หมด !!!