นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ประกาศแนวนโยบายฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ทิ้งทั้งฉบับ ว่า นายธนาธรใช้ถ้อยคำที่หวือหวามากเกินไป เพราะการฉีกรัฐธรรมนูญเปรียบเหมือนกับการยึดอำนาจ ทั้งนี้ ตนไม่เคยได้ยินผู้ที่มาจากการเลือกตั้งออกมาพูดว่าหลังจากตัวเองได้รับเลือกตั้งมาแล้วจะฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง มีแต่คนที่จะพูดว่าพรรคของเขาเห็นว่าในรัฐธรรมนูญฉบับนั้นๆ มีเรื่องใดที่ไม่เหมาะสม ควรต้องปรับปรุงแก้ไขประเด็นใดบ้าง ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญฉบับนี้มาจากการที่ประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติเห็นด้วยให้บังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้ หรือถ้าพรรคอนาคตใหม่จะไปจับมือกับพรรคการเมืองอื่นที่มีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ก็สามารถดำเนินการได้ในรูปแบบของการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญเท่านั้น เพราะมีบางหมวดที่ห้ามมีการแก้ไข
เมื่อถามว่า การใช้คำพูดลักษณะดังกล่าวจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในเรื่องของรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เขาควรสร้างความเข้าใจและให้ความรู้กับประชาชนดีกว่า เพราะหากเขาไปฉีกรัฐธรรมนูญแล้วเกิดมีฝ่ายที่สนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2560 ออกมาเรียกร้องขอคืนรัฐธรรมนูญฉบับนี้กลับคืนมา อาจเกิดวิกฤตรัฐธรรมนูญขึ้นมาอีก จึงคิดว่าเขาควรใช้คำพูดต่างๆที่คนทุกรุ่นทุกวัยฟังเข้าใจง่ายและเข้าใจถูกต้อง ถ้าในรัฐธรรมนูญมีเรื่องไหนที่ไม่เหมาะสม เราก็มาช่วยกันพิจารณาการปรับปรุงแก้ไขดีกว่า
ส่วนการที่นายธนาธรระบุด้วยว่าหากมีอำนาจจะนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ถูกดำเนินคดีทางการเมืองในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า อย่าลืมว่าในสมัยรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มต้นเรื่องนิรโทษกรรมแบบนี้แล้วก็เลยเถิดไป จนทะลุซอยแล้วเกิดวิกฤตนำไปสู่การทำรัฐประหารยึดอำนาจ การที่เขาจะมาเริ่มต้นเรื่องของการนิรโทษกรรมอีกครั้ง เกรงว่าจะทำให้เกิดความขัดแย้งกลับมา ไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม ขอให้เราทุกคนจำบทเรียนไว้ ซึ่งตนเห็นว่าเขาเป็นคนรุ่นใหม่ไม่น่าจะมีความคิดในสิ่งที่ทำให้บ้านเมืองกลับไปสู่ความขัดแย้งอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่า การนำเสนอเรื่องนิรโทษกรรมเช่นนั้นอาจทำให้เกิดความกังวลว่าจะรวมไปถึงคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และจำเลยคนอื่นในคดีการทุจริตโครงการจำนำข้าวด้วย ได้หรือไม่ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เป็นไปได้ที่อาจเกิดความไม่ไว้วางใจหรือสงสัยว่าการนิรโทษกรรมดังกล่าวจะเลยเถิดไปถึงคดีรับจำนำข้าวหรือคดีอื่นๆด้วยหรือไม่ ดังนั้นสิ่งใดที่จะทำให้ประชาชนรู้สึกกังวล ขณะที่นักการเมืองไม่ค่อยได้รับความเชื่อถืออยู่แล้ว ก็ไม่ควรไปสร้างความกังวลให้กับประชาชนเพิ่มอีก
“คนใหม่ พรรคใหม่ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องออกตัวแรงตอนต้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงยกท้ายๆ แล้วจะเป็นอย่างไร อย่างสำนวนไทยที่ว่าคนหนุ่มอวดรู้ คนแก่อวดแรง หมายความว่าคนหนุ่มแสดงภูมิความรู้ตัวเอง ขณะที่คนแก่ก็พยายามแสดงตัวว่ายังมีแรงมาก แม้ใครจะใช้คำพูดให้เกิดความหวือหวาเพื่อเรียกความสนใจ ขอให้เอาความจริงมาพูดกันดีกว่า ส่วนประชาชนทุกคนต้องตั้งสติและจดจำบทเรียน ถ้าไม่อยากให้ประเทศกลับไปมีปัญหาอีก เว้นแต่ว่าเราจะไม่จำบทเรียน สำหรับคนไทยนั้นเคยมีผู้กล่าวไว้ว่าประวัติศาสตร์สอนให้เรารู้ว่าเราไม่เคยเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์เลย” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์นำเสนอเรื่องการแก้ไขธรรมนูญลงในนโยบายของพรรค ด้วยหรือไม่ นายนิพิฏฐ์ กล่าวว่า เรายังไม่ได้พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ส่วนเรื่องนโยบายมีคณะกรรมการจัดทำนโยบายพิจารณาอยู่ สำหรับเรื่องรัฐธรรมนูญนั้น เราต้องดูช่องทาง ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญก็มีระยะเวลาการบังคับใช้ของเขาอยู่ ซึ่งมีบางเรื่องที่มีความสำคัญมากก็อาจต้องทำประชามติสอบถามความเห็นถึงการแก้ไขในเรื่องนั้น