นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความเคลื่อนไหวพรรคการเมืองที่ถูกคสช. ดูดไปร่วมงาน ว่าไม่อยากตอบโต้ไปมา อยากให้ทุกฝ่ายพูดความจริง เพราะคนที่เกี่ยวข้องรู้อยู่แก่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งข้อมูลที่ตนทราบจากผู้เกี่ยวข้องตรงกัน ไม่ใช่อย่างที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่านักการเมือง อยากไปทำงานร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่พูดขัดแย้งในตัวเอง เช่นกรณีนายสนธยา คุณปลื้ม ที่อ้างว่าดึงตัวมาช่วยงานอีอีซี ขณะเดียวกันก็บอกว่านักการเมืองต้องการมาทำงานกับรัฐบาลเอง เช่นเดียวกับนายณัฎฐพล ทีปสุวรรณ อดีตส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ก็ยอมรับว่าไปพบกับ นายสมคิด และพูดคุยเรื่องการเมือง และอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะไปร่วมงานกับรัฐบาลหรือยังทำงานการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งส่วนตัวตนไม่ได้มีปัญหาเรื่องสมาชิกย้ายพรรค แต่อยากให้ย้ายเพื่ออุดมการณ์และประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก มากกว่าการที่รัฐบาลจะใช้อำนาจ ผลประโยชน์และตำแหน่งมาต่อรอง
ผู้สื่อข่าวถามว่านายสมคิดระบุว่าพรรคการเมืองควรทำนโยบายดีกว่ามาจับผิดรัฐบาลและพูดเรื่องการดึงตัว ส.ส.นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากให้คสช.ย้อนกลับไปดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้เกิดจากคำสั่งคสช.ที่ทำให้ต้องเสียเวลาในการยืนยันสมาชิกด้วยเวลาที่จำกัด ดังนั้นหากต้องการให้พรรคการเมืองทำนโยบายก็ควรบอกคสช.ให้ยกเลิกคำสั่ง 53/2560 ด้วย และขอให้เอาความจริงมาพูดกันจะดีกว่า อย่าใช้ผลประโยชน์หรือตำแหน่งมาต่อรอง เพราะท่านก็อยู่ในวงเจรจานั้นด้วย
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีจะประชุมครม.สัญจรและลงพื้นที่บุรีรัมย์ในวันที่ 7-8 พ.ค.นี้ ว่า เป็นเรื่องปกติที่รัฐบาลจะไปลงพื้นที่รับฟังปัญหาประชาชน และทุกครั้งก็พบปะกับนักการเมืองในพื้นที่
ส่วนการเคลื่อนไหวของอดีตส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่ประเทศสิงคโปร์ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ใครจะทำอะไรก็ได้ หากอยู่ภายได้กฎหมาย
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการสรรหากรรมการเลือกตั้ง(กกต.)ชุดใหม่ ล่าสุดคัดเลือกมาแล้ว 5 คนเป็นนักวิชาการและอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดว่า เป็นไปตามคุณสมบัติที่คณะกรรมการสรรหากกต.พิจารณามาตามรัฐธรรมนูญกำหนดในเรื่องคุณสมบัติต้องห้าม หลังจากนี้เป็นเรื่องของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)จะพิจารณา จึงขอให้ใช้วิจารณญาณในการคัดเลือกให้ดีที่สุด ทั้งนี้ไม่ติดใจที่ผู้ได้รับการสรรหา ไม่เคยมีประสบการณ์จัดการเลือกตั้ง เพราะกกต.ที่ผ่านมาก็ไม่เคยเป็นกกต.มาก่อน แต่เมื่อมาเป็นแล้ว ขอให้ใช้ความรู้ ประสบการณ์ ที่สำคัญคือความเป็นกลาง และความเที่ยงธรรมในการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด อย่าให้ใครเข้ามาแทรกแซง