หน้าแรกกระบวนการยุติธรรม“ศาลแพ่ง” มีคำสั่งไม่คุ้มครองฯ แต่ให้ ‘อคฟ.’ ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ฯ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสื่อฯ ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางของสื่อมวลชนขณะทำข่าวม็อบ

“ศาลแพ่ง” มีคำสั่งไม่คุ้มครองฯ แต่ให้ ‘อคฟ.’ ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ฯ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของสื่อฯ ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางของสื่อมวลชนขณะทำข่าวม็อบ

เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 ที่ศาลแพ่ง ผู้สื่อข่าว รายงานว่า  ตามที่ปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวในกรณีฉุกเฉินในคดีหมายเลขดำที่ พ3683/2564 ระหว่างนายธนาพงศ์  เกิ่งไพบูลย์ กับพวกรวม 2 คน กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 4 คน และศาลนัดฟังคำสั่งวันที่ 10 สิงหาคม 2454 เวลา 13.30 นาฬิกา นั้น

บัดนี้ ศาลแพ่งในคดีหมายเลขดำที่ พ3683/2564 ได้ออกนั่งพิจารณาไต่สวนพยานหลักฐานแล้วมีคำสั่งอันสรุปใจความได้ว่า “ที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางใส่โจทก์ทั้งสอง สื่อมวลชนอื่น และประชาชนที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิตบุคคลอื่น และขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนสลายการชุมนุมโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่กฎหมาย และหลักการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 นั้น พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 มาตรา 3 (6 ) กำหนดมิให้ใช้พระราชบัญญัติดังกล่าวแก่การชุมนุมสาธารณะในระหว่างเวลาที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

ซึ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 3548 มีเจตนารมณ์ให้อำนาจฝ่ายบริหารมีอำนาจพิเศษบางประการสำหรับการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งรวมถึงการออกประกาศและข้อกำหนดเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงโดยเร็ว โดยเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2563 นายกรัฐมนตรีได้ออกข้อกำหนดซึ่งออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 15) ข้อ 3 ห้ามชุมนุม ทำกิจกรรมหรือมั่วสุม ณ ที่ใด ๆ ในสถานที่แออัดหรือกระทำการดังกล่าวอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย แต่การใช้อำนาจดังกล่าวไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการหากการใช้อำนาจของรัฐเป็นไปโดยไม่สุจริต เลือกปฏิบัติ เกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีจำเป็น ตามมาตรา 17 แห่งพระราชกำหนดดังกล่าว หากมีผู้จัดการชุมนุม หรือผู้ชุมนุมกระทำการอันฝ่าฝืนข้อกำหนดดังกล่าว จำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานตำรวจย่อมมีอำนาจในการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการที่เหมาะสมตามสถานการณ์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละครั้ง

ดังนั้น กรณีใดมีความจำเป็นในการใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความรุนแรงของผู้ชุมนุมและเหตุการณ์อันอาจเกิดขึ้นในแต่ละครั้งไป ทั้งข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจจงใจหรือมุ่งกระทำต่อบุคคลที่ทำหน้าที่สื่อมวลชนเป็นการเฉพาะ และหากโจทก์ทั้งสอง สื่อมวลชนและประชาชนซึ่งมิได้กระทำการฝ่าฝืนต่อกฎหมายถูกเจ้าพนักงานตำรวจยิงด้วยกระสุนยาง ย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายอาญาโดยศาลไม่จำต้องสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อน

พิพากษาตามคำขอดังกล่าวอีก ประกอบกับตามที่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนสลายการชุมนุมโดยขัดต่อหลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่กฎหมาย และหลักการดูแลการชุมนุมสาธารณะตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 นั้นเป็นคำขอให้คุ้มครองผู้เข้าร่วมชุมนุม เมื่อโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีในฐานะสื่อมวลชนซึ่งมิได้เป็นผู้เข้าร่วมชุมนุมจึงไม่อาจร้องขอคุ้มครองชั่วคราวแทนผู้ร่วมชุมนุมได้ ส่วนคำขอที่โจทก์ทั้งสองขอให้ศาลมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 มีคำสั่งห้ามเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนคุกคามข่มขู่ จำกัดพื้นที่การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่นนั้น จำเลยที่ 1 ต้องปฏิบัติการรักษาความปลอดภัย จึงต้องจัดพื้นที่ให้แก่โจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่นเพื่อให้ได้รับความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งพยานโจทก์ทั้งสองในชั้นนี้ก็มิได้เบิกความว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจำกัดพื้นที่ในการปฏิบัติหน้าที่ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจจำกัดพื้นที่ในการปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนอื่น ทั้งโจทก์ทั้งสองก็มิได้มีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลห้ามจำเลยที่ 1 จำกัดพื้นที่การปฏิบัติงานของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชน

โจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในกรณีดังกล่าวได้ อย่างไรก็ดี ได้ความตามทางไต่สวนว่า จำเลยที่ 1 โดยเจ้าพนักงานตำรวจใช้อาวุธปืนยิงกระสุนยางในการควบคุมฝูงชนและสลายการชุมนุม เป็นเหตุให้สื่อมวลชนหลายรายซึ่งมิใช่ผู้ร่วมชุมนุมถูกยิงด้วยกระสุนยาง ก่อให้เกิดความหวาดกลัวและไม่ปลอดภัยในการปฏิบัติงาน

ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และเจ้าพนักงานตำรวจยังต้องปฏิบัติหน้าที่ในการควบคุมฝูงชนและสลายการชุมนุมซึ่งโจทก์ทั้งสอง และสื่อมวลชนอื่นอาจได้รับอันตรายแก่กายจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจ กรณีจึงมีเหตุที่จะคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามคำขอนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย โจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชนต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนด้วย

จึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1ใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการชุมนุมและสลายการชุมนุม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของโจทก์ทั้งสองและสื่อมวลชน ภายใต้หลักเกณฑ์และแนวทางการปฏิบัติงานของสื่อมวลชน”

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img