นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภาและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เจ้าของฉายา ‘โหรส.ว.’ กล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Boonlert Pairindra‘ ถึงสถานการณ์ทางการเมือง โดยระบุว่า ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังอยากเห็นการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการศึกษา ก่อนการเลือกตั้ง รัฐบาล คสช บริหารประเทศมาแล้วเกือบ 4 ปี ยังไม่เห็นการปฏิรูปใดๆ ที่ได้ชื่อว่าสำเร็จเลยแม้แต่น้อยไม่ว่าด้านใดด้านหนึ่งดังได้กล่าวแล้ว ที่เห็นเป็นรูปธรรมที่ไม่เข้าท่าอยู่อย่างหนึ่งก็คือการปฏิรูปการเมืองให้เป็นเผด็จการวุฒิสภาจำนวน 250 คนโดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนที่เป็นตราบาปในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน นี่ก็เป็นตัวอย่างความล้มเหลวของการปฏิรูปด้านการเมือง แม้จะมีคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองขึ้นมาก็จะต้อง เสนอให้มีการปฏิรูปเนื้อหาสาระที่อยู่ในกรอบของรัฐธรรมธรรมนูญที่บิดเบี้ยวมาแต่แรก ถ้าจะรอปฏิรูปอีกก็จะไม่ได้การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้นได้แต่อย่างใดเลย แล้วจะรอปฏิรูปการเมืองไปทำไมอีกล่ะ
นายบุญเลิศ กล่าวต่อไปว่า การปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศก็ล้มเหลวอีกเช่นกัน ที่ว่าล้มเหลวก็เพราะเมื่อเศรษฐกิจหรือจีดีพีโตก็จริง แต่โตเพื่อนายทุนใหญ่ ไม่ได้โตเพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศแต่อย่างใดเลย การส่งออกขยายตัวก็จริงแต่ราคาผลิตผลทางการเกษตรทุกตัวตกต่ำอย่างน่าใจหาย ดูได้จากราคาข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง อ้อย และอื่นๆอีกมาก รัฐบาลควรใช้เงินมาพยุงราคาสินค้าเกษตรกรรมกลับใช้เงินหว่านลงไปในชนบทในรูปแบบต่างๆเช่นไทยนิยมยั่งยืนหมู่บ้านละ 2 แสนบาท ก็เป็นน้ำพริกละลายแม่น้ำ ไม่ถึงมือเกษตรกรแต่ถึงมือผู้รับเหมากับผู้เกี่ยวข้องบางคนเท่านั้น เมื่อเกษตรกรไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอยก็ส่งผลกระทบธุรกิจเกี่ยวเนื่องในพื้นที่ ทำให้มีแต่คนขายแต่ไม่มีคนซื้อ ด้วยเหตุนี้ทั้งเกษตรกรและพ่อค้ารายย่อยล้มระเนระนาด ต้องกู้หนี้ยืมสินเพื่อนำมาเพื่อประทังชีวิตและเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน บางรายได้ถูกยึดและกำลังจะถูกยึดที่นา ไร่และสวนเพราะหนี้สินล้นพ้นตัว แล้วจะรอปฏิรูปเพื่อให้คนส่วนใหญ่ของประเทศอดตายให้หมดเสียก่อนกระนั้นละหรือ
นายบุญเลิศ กล่าวด้วยวว่า การปฏิรูปการศึกษาก็เช่นเดียวกัน มันไม่ใช่การปฏิรูปแต่มันเป็นการทำลายระบบการศึกษาทั้งในเชิงโครงสร้างและเนื้อหาสาระอีกด้วย ในเชิงโครงสร้างนั้นรัฐบาล คสช. ได้สร้างความซ้ำซ้อนขึ้นมาทั้งศึกษาธิการจังหวัดและศึกษาธิการภาค ได้ก่อให้เกิดความสิ้นเปลืองทั้งงบประมาณและบุคลากรขึ้นมาอย่างมากมายโดยไม่จำเป็นแต่อย่างใดเลยนอกจากจะสิ้นเปลืองแล้วยังสร้างความขัดแย้งกับเขตพื้นที่การศึกษาทั้งประถมและมัธยมศึกษาอีกด้วย ในเชิงเนื้อหาสาระการเรียนการสอนก็กำหนดขึ้นมาตามอำเภอใจของรัฐมนตรี เช่น ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้โดยขาดการศึกษาค้นคว้าวิเคราะห์และวิจัยและการเตรียมความพร้อม มันก็ไปทำลายโอกาสของการเรียนในสิ่งที่ควรเรียนเพราะถูกลดเวลาเรียนลงไป การเพิ่มเวลารู้ก็ไม่ได้เพิ่มการเรียนรู้อย่างคุ้มค่าเพราะขาดความพร้อมในด้านกิจกรรมด้านวิชารู้ มันเลยกลายเป็นการปล่อยเยาวชนไปเพิ่มวิชารู้ตามสวนสาธารณะหรือโรงแรมหรือบาร์ไนท์คลับ สิ่งที่ตามมาก็คือ ท้องก่อนเวลาอันควรนั่นเอง
“ที่กล่าวมาแล้วอย่างย่อๆนั้นเพื่อชี้ให้เห็นฝีมือการปฏิรูปของรัฐบาล คสช ว่าล้มเหลวมาทุกด้าน สังคมไทยมิอาจรอความล้มเหลวในการปฏิรูปของรัฐบาลที่ไร้เดียงสาแถมปัญญาอ่อนได้อีกต่อไปแล้วล่ะครับ” นายบุญเลิศ กล่าว
[fb_pe url=”https://www.facebook.com/pairindra/posts/1382976378474183″ bottom=”30″]