นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลคสช.ว่า อยากให้ประเมินการถึงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า ที่ผ่านมาทุกอย่าง แล้วดูความคุ้มค่า เพราะข้อสังเกตที่ได้มาตลอดสามถึงสี่ปีที่ผ่านมาคือ หลายโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ เพราะไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่ตั้งใจ แต่กลับจำกัดอยู่กับคนบางกลุ่มมากกว่าจะทำให้คนทั่วไปมีรายได้ที่ดีขึ้น โดยเมื่อเทียบงบประมาณที่ลงไปกับความคุ้มค่าที่ได้รับ มีผลที่ได้น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับเงินงบประมาณที่ลงไป จึงอยากให้ปรับวิธีคิดว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งจะยั่งยืนและเป็นผลดีต่อภาวะการเงินการคลังด้วย อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า รัฐบาลคงไม่ตั้งใจให้เกิดปัญหา แต่มองสภาวะเศรษฐกิจไม่ตรงกับความจริงที่เปลี่ยนไปมากกว่า
ส่วนการลงพื้นที่ของรัฐบาล คสช.ในช่วงนี้นั้น ถ้าจะบอกว่าเขาลงพื้นที่มันผิดก็คงสรุปไม่ได้ เพราะการบริหารราชการแผ่นดินโดยปกติก็ต้องพยายามที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชน พูดง่ายได้คือได้คะแนนทางการเมือง ถ้าลงไปเพื่อจะไปดูข้อเท็จจริง ทำให้การแก้ไขปัญหาตรงจุด เราก็ไปต่อว่าเขาไมได้ แต่ของอย่างนี้ดูไปสักพักก็จะดูออกเองว่าเป็นเรื่องของประสิทธิภาพของการบริหารราชการแผ่นดินหรือเป็นเรื่องของการมีเป้าหมายทางการเมือง
ส่วนกรณีที่รัฐบาลทำไลน์ขึ้นมา โดยเอางบประมาณไปซื้อนั้น ตนยังนึกไม่ออกว่าเขาจะเขียนอะไรมา และไม่แน่ใจว่าจะมีคนติดตามมากหมายแค่ไหน และงบที่ใช้ 7 ล้านบาท โดยมีการทำสติ๊กเกอร์ไลน์ สันนิฐานว่าเป็นรูปนายกฯ และใครอยากได้สติ๊กเกอร์นี้ฟรีก็ไปโหลดมาได้ โดยการมาติดตามตัวไลน์นี้ เขาก็จะสามารถส่งข้อความได้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะคุ้มค่าแค่ไหน ทั้งที่เป็นเงินภาษีอากรของประชาชน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสามารถทำได้ แต่เป้าหมายการประชาสัมพันธ์คืออะไร และเป็นข้อมูลแบบไหน
“ผมคุยกับเพื่อนๆ หลายคนบอกว่าอย่างนี้ บริษัท ห้างร้านทำกันเยอะแยะ เวลาเขาอยากได้สติกเกอร์เขาก็โหลดมา เวลาไม่อยากได้ ก็บล็อกออกไป แล้วสติกเกอร์ก็ส่งกันไป ผมก็ไม่แน่ใจว่า การมาเทียบเคียงกับรัฐบาล การประชาสัมพันธ์ตรงนี้จะเป็นอย่างนี้ แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรก รัฐบาลเคยทำตอนที่มีค่านิยม 12 ประการ แล้วบอกว่ามีสติกเกอร์ชุดหนึ่ง บังเอิญผมไม่ได้ไปติดตาม และไม่ได้รับสติกเกอร์ชุดนั้นเลย จึงไม่รู้ว่าการทำอย่างนี้จำคุ้มค่าแค่ไหน ทั้งที่เป็นเงินภาษีอากรของประชาชน จะบอกว่า 7 ล้านบาท เล็กน้อย แต่ก็เป็นเงินภาษีประชาชน และการทำสติกเกอร์ สวัสดี ขอบคุณ เป็นประชาสัมพันธ์รัฐอย่างไร” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ต่อมา นายอภิสิทธิ์ กล่าวแสดงความเป็นห่วงหากระบบการเมืองเราไม่ยึดตัวระบบถ่วงดุลให้เกิดความพอดี ถ้าพูดกันตรงๆตอนนี้เรามีมาตรา 44 ใหญ่กว่าทุกอย่าง บางทีก็สะใจว่ามันง่าย รวดเร็ว ตรงกันข้ามกับระบบที่มีการถ่วงดุลอาจจะช้า ไม่สะใจเสมอไป แต่จะเป็นหลักประกันของบ้านเมืองได้ดีกว่า ในขณะเดียวกัน ยังรู้สึกเป็นห่วง คนที่ใช้อำนาจอาจมีส่วนได้ส่วนเสียกับการเลือกตั้งครั้งต่อไป ซึ่งตามกระแสข่าวจะมีการตั้งพรรคโดยเอารัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรค เป็นรูปแบบที่แปลกเพราะรัฐมนตรีทั้ง 2 คนไม่สามารถลงส.ส.ได้ และไม่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯด้วย คำถามคือ ทำไมต้องเอาคนที่มีอำนาจอยู่ในกระทรวงพาณิชย์ ในกระทรวงอุตสาหกรรม มาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เรื่องนี้ยิ่งเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดว่าหากจะลงเล่นการเมือง ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ต้องลาออก 90 วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศ ซึ่งก็ชัดเจนว่าป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน กรณีหัวหน้า คสช.ก็ลง ส.ส.ไม่ได้แล้ว อย่างไรก็ตามแม้ตามตัวอักษรของรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกฯ 1 ใน 3 แต่มันก็ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่า เมื่อมาตรา 44 ออกโดย คสช. การที่คสช.จะลงเล่นการเมือง เหมือนเอาเปรียบหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้ไม่มีส่วนในการเลือกตั้ง ตนก็ยังลังเลว่าจะสามารถใช้อำนาจมาแทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระได้ เพราะทำให้ไม่เป็นอิสระ แต่ยิ่งบอกว่าคนที่ใช้อำนาจอาจจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับการเลือกตั้งครั้งต่อไปก็ยิ่งเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น และรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดว่าหากจะลงเล่นการเมือง ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ต้องลาออก 90 วันหลังรัฐธรรมนูญประกาศ ซึ่งก็ชัดเจนว่าป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน กรณีหัวหน้าคสช. ก็ลง ส.ส.ไม่ได้แล้ว แต่ตามตัวอักษรของรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามให้พรรคการเมืองเสนอชื่อเป็นนายกฯ 1ใน 3 แล้วเจ้าตัวยินยอม แต่คงไม่ค่อยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญเท่าไหร่ เพราะชัดอยู่แล้วว่า ไม่ต้องการให้ฝ่ายบริหารมาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง จึงทำให้ตนมีความรู้สึกว่าในเรื่องของข่าวจะมีการตั้งพรรคโดยเอารัฐมนตรีมาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นรูปแบบที่แปลกเพราะรัฐมนตรีทั้ง 2คนไม่สามารถลง ส.ส.ได้ และไม่ถูกเสนอชื่อเป็นนายกฯด้วย คำถามคือ ทำไมต้องเอาคนที่มีอำนาจอยู่ในกระทรวงพาณิชย์ ในกระทรวงอุตสาหกรรม มาเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง