เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2563 นายนพพร ศุภพิพัฒน์ อดีตผู้บริหาร บริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี โฮลดิ้ง จำกัดได้เปิดเผย ว่า จากกรณีที่นายณพ ณรงค์เดช รองประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหารบริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี จำกัด ได้ให้สัมภาษณ์สื่อสำนักหนึ่งเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 ที่ผ่านมา ว่า”การซื้อขายหุ้นบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยีฯ ดำเนินการถูกต้องตามสัญญาเงื่อนไขที่ได้ระบุไว้ โดยการโอนหุ้นและชำระค่าหุ้นส่วนแรก 190 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐได้เสร็จสิ้นไปแล้ว สำหรับการจ่าย Bonus Payment (โบนัส เพย์เม้นท์) วงเงิน 525 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ไม่สามารถชำระให้ได้ตามที่นายนพพร ศุภพิพัฒน์ อดีตผู้บริหาร บริษัทวินด์ เอนเนอร์ยี โฮลดิ้ง จำกัด ออกมาให้ข่าว เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับโบนัส โดยภายหลังที่เข้าไปบริหารในบริษัทฯ แล้วพบว่าในส่วนของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 5 แห่ง มีปัญหาทางข้อกฏหมายทั้งเรื่องที่ดิน ยังเป็นที่ดินเช่า และใบอนุญาตประกอบกิจการ ซึ่งในทางกฏหมายเรียกว่าการซื้อขายทรัพย์สินผิดคำพรรณาหรือเรียกว่าสินค้าไม่ตรงปกก็ได้”
นอกจากนี้ยังได้ให้สัมภาษณ์ในทำนองเดียวกันกับสื่ออีกสำนักหนึ่งอีกในวันที่ 2 กันยายน 2563 และในการแถลงข่าวในวันที่ 19 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมานั้น
นายพรพร ยังได้เปิดเผยอีกว่า ตนขอขอชี้แจง ตาม สิทธิ์และขอเรียนตามข้อเท็จจริงว่าข้อความด้านบนเป็นการกล่าวอ้างลอยๆที่คลุมเครือ และไม่ตรงข้อเท็จจริง ความจริงคือในสัญญาซื้อขายหุ้นระบุว่าให้ชำระเงินค่าหุ้นงวดแรกภายในเดือนตุลาคม 2558 เป็นเงิน 175 ล้านเหรียญสหรัฐ และจำนวนที่เหลือ 525 ล้านเหรียญสหรัฐกำหนดชำระหลัง 5 โครงการสุดท้าย (ซึ่งเช่าที่ดิน ส.ป.ก) ดำเนินการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าแล้ว ดอกเบี้ยผิดนัดตามสัญญาคือร้อยละ15 ปรากฎว่าตนได้รับเงินจำนวน 90.50 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนธันวาคม 2558 และจำนวน 85.75 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเดือนมิถุนายน 2562 เนื่องจากผิดนัดชำระและล่าช้าเป็นเวลาหลายปีนายณพจึงยังค้างเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับเงินค่าหุ้นงวดแรกตามคำชึ้ขาดอนุญาโตตุลาการถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 2563 รวมเป็นเงิน 69.37 ล้านเหรียญสหรัฐ กับค่าชดเชยสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีรวมดอกเบี้ยอีกกว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่จ่าย
ส่วนค่าหุ้นส่วนที่เหลือจำนวน 525 ล้านเหรียญสหรัฐที่นายณพตั้งชื่อเอาเองว่า ”Bonus Payment” นายณพไม่จ่ายโดยอ้างปัญหาด้านที่ดินและไปฟ้องร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ข้อเท็จจริงคือในวันที่ 31 มกราคม 2560 ศาลปกครองกลางสูงสุดมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติของส.ป.ก.จังหวัดชัยภูมิที่นำพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดินไปให้เอกชนเช่าเพื่อสร้างกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า
ขณะนั้นทางบริษัทวินด์ฯ ยังไม่ได้ก่อสร้าง 5 โครงการสุดท้ายดังกล่าวซึ่งอยู่ในเขต ส.ป.ก. ต่อมา คสช.ได้ออกคำสั่งที่ 31/2560 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน2560 คุ้มครองผู้ประกอบการที่เกิดผลกระทบจากคำพิพากษา โดยให้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการแก้ไขและปรับปรุงกฏหมาย ซึ่งระหว่างที่มีการแก้ไขกฏหมายก็ให้ดำเนินการไปพลางก่อน
เมื่อเห็นสถานการณ์คลี่คลายเช่นนี้บริษัทวินด์ฯ จึงเริ่มดำเนินการขออนุมัติสินเชื่อในการสร้างโครงการทั้ง 5 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นมากกว่าสื่หมื่นล้านบาท จนในที่สุดได้รับอนุมัติเมื่อ 28 พฤศจิกายน 2560
ดังนั้นก่อนที่บริษัทวินด์ฯ โดยการควบคุมของนายณพจะเริ่มก่อสร้างโครงการทั้ง 5 นั้นปัญหาเรื่องที่ดินได้คลี่คลายไปแล้ว ไม่เช่นนั้นทางธนาคารคงไม่ปล่อยกู้เงินจำนวนมหาศาลแก่โครงการ และเมื่อโครงการสร้างเสร็จ – ดำเนินการผลิตไฟฟ้าแล้วก็จึงบรรลุเงื่อนไขตามสัญญาซื้อขายหุ้นซึ่งนายณพย่อมมีหน้าที่ต้องปฎิบัติตามสัญญาชำระเงินส่วนที่เหลือ
การที่ นายณพ ยกเรื่องที่ดิน ส.ป.ก. มาฟ้องเป็นคดีต่ออนุญาโตตุลาการจึงเป็นแค่ข้ออ้างไม่จ่ายเงินตามคำชี้ขาดฯ เกือบ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ การเอาคดีที่ยังไม่มีคำชี้ขาดมาเป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายเงินตามคดีที่ชี้ขาดแล้วเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล หากนายณพฟ้องคดีด้วยความสุจริตจริงก็ควรนำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางเป็นประกัน ถ้าชนะคดีก็ได้คืนไปแต่ถ้าแพ้ก็ต้องถูกยึด แต่นายณพก็ปฎิเสธ อีกทั้งนายณพก็คงจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยที่ค้างชำระในส่วนของเงินค่าหุ้นงวดแรกจำนวน 69.37 ล้านเหรียญสหรัฐไปแล้ว เพราะต่อให้ชนะคดี ส.ป.ก.นายณพก็ยังคงผูกพันต้องจ่ายเงินงวดแรกให้ครบอยู่ดี
ที่น่าสังเกตอีกข้อ คือนายณพ ดำเนินการให้นางจาริญา บัวทรัพย์ ซึ่งเป็นญาติของคุณหญิงกอแก้ว บุญยะจินดา พร้อมทั้ง มารดาภรรยา นายณพ ไปขายหุ้นให้กับบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด(มหาชน)*เมื่อ 5 ตุลาคม 2561 ในราคา 600 บาทต่อหุ้น คิดการประเมินมูลค่าบริษัทวินด์ที่ 65,280 ล้านบาท (600 บาท x 108.8 ล้านหุ้น) ในขณะที่ราคาที่ผมขายให้คือ 700 ล้านเหรียญ สำหรับหุ้น 60% ในวินด์ฯ ซึ่งคิดเป็นราคาแค่หุ้นละไม่ถึง 350 บาท ซึ่งนายณพจ่ายมาไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ คือหุ้นละไม่ถึง 90 บาท (หนำซ้ำยังไม่ได้เอาเงินตัวเองมาจ่าย) โดยอ้างของไม่ดี ไม่ตรงปกต่างๆ นาๆ แต่ในขณะเดียวกันไปขายหุ้นละ 600 บาท ที่สำคัญเงินที่ได้รับก็ไม่นำมาจ่ายเจ้าหนี้ ผมอยากให้ท่านใช้ดุลยพินิจพิจารณาเอาเองว่านี่คือพฤติกรรมของนักลงทุนหรือมิจฉาชีพ
อย่างไรก็ดี คาดว่าคดีที่ดิน ส.ป.ก. ทางอนุญาโตตุลาการน่าจะมีคำชี้ขาดสิ้นปีนี้ ซึ่งคำชี้ขาดคดีนี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสิ่งเดียวที่ไม่ตรงปกในเรื่องนี้คือตัวนายณพเองที่ภาพลักษณ์ (ในอดีต) เป็นอย่างหนึ่ง แต่พฤติกรรมแท้จริงเป็นอีกอย่างหนึ่ง “นาย นพพร กล่าว
“
ซึ่งมีรายงานอีกว่า สำหรับ หุ้นวินด์ที่โอนขายให้กับบริษัทเอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) เคยเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นวินด์ที่โอนไปที่คุณเกษม ณรงด์เดช และโอนต่อไปที่โกลเด้น มิวสิค ฮ่องกงอันเป็นที่มาของคดีโกงเจ้าหนี้ที่นายณพเป็นจำเลยทั้งคดีอาญาในไทย และแพ่งที่ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันหุ้นนี้ถูกคุณเกษมฟ้องอาญัติปันผลทั้งหมด