นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่เป็นกังวลในขณะนี้คือเกิดสถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น ซึ่งอาจจะมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่มีก็ตาม อย่างที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว หลายคนก็ระบุว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่อยากให้มองให้ไกลถึงอนาคตของพวกเราทุกคน ซึ่งอนาคตของพวกเราอยู่ที่ประเทศชาติใช่หรือไม่ หากสถานการณ์บานปลายไปเรื่อยๆ แล้วทุกคนมุ่งหวังให้เกิดความรุนแรง และให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายสิ่งที่จะเกิดตามมาคือความไม่สงบเรียบร้อยก็จะกลับไปสู่สถานการณ์เดิมๆที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม วันนี้อยากให้มองว่าเด็กๆ เป็นพลังบริสุทธิ์มีส่วนหนึ่งที่อาจไม่เข้าใจ ก็ขอให้ทุกคนมองอนาคตเด็กๆ วันหน้าด้วย และตนเองเห็นหัวข้อในการเรียกร้องก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลายข้อมีความเป็นไปไม่ได้ แต่อาจจะทำให้เด็กมีความคาดหวัง แต่หลายข้อเช่น การยกเลิกการไหว้ครู ไม่ต้องเคารพครู พ่อแม่ก็ไม่ต้องเคารพ ผมถามว่าถ้าไม่ใช่ผมแล้วเป็นคนอื่นที่เข้ามาสิ่งที่มันเกิดขึ้นในลักษณะเช่นนี้ สถานการณ์แบบนี้จะมีใครที่จะแก้ปัญหานี้ได้อีกต่อไป นั่นคือหมายความว่าประเทศเราก็ล่มสลายแกนนำ หลักการ ประเทศชาติล้มไปทั้งหมด สถาบันครอบครัวล้ม สถาบันการศึกษาครูล้มหมดนี่หรือคืออนาคต “พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน อยากขอร้องสื่อมวลชนว่าการนำเสนอข่าวขยายข่าวหรือรีรันข่าว บางครั้งต้องดูข้อเท็จจริงด้วยไม่ใช่พูดกันทั้งวันทั้งคืนตลอดเวลารีรันซ้ำแล้วซ้ำอีกจะทำให้รู้สึกว่ามากขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ตาม การประเมินสถานการณ์ของเราจะมากหรือน้อยตนให้ความสำคัญทั้งหมดไม่ว่าจะคนเดียว 10 คน 20 คน หรือเป็นหมื่นคน เพราะทุกคนคือประเทศของเรา และการที่ไปส่งเสริมให้มีการเคลื่อนไหวก็ขอให้มองอีกมุมหนึ่ง หากมีคนที่มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต้องการให้เกิดความรุนแรงและต้องการให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น ถามว่ากฎหมายและเจ้าหน้าที่จะทำอย่างไร เมื่อถึงเวลานั้นเด็กเหล่านี้จะเป็นกันชนให้กับคนบางกลุ่มหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ เป็นอันตรายที่จะเกิดกับเด็ก จึงขอให้ทุกคนสำนึกในเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วย
นายกฯไม่ตอบสื่อนอกประเด็นเกี่ยวกับสถาบัน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีพูดมาตลอดว่ารับฟังข้อเสนอของเด็กนักศึกษา แต่เด็กยังมองว่าไม่รับฟัง รวมถึงข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบัน และไม่ออกมาตอบสนอง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อยากให้เข้าใจว่าประเทศไทยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ มีความสัมพันธ์กันอย่างไร จึงขอไม่ตอบในประเด็นนี้ เพราะตนเองก็ไม่เคยไปก้าวล่วงต่างประเทศ และไม่เคยไปสนับสนุนการเมืองในประเทศไทยต่อต่างประเทศอื่นๆ ซึ่งตนเองมีแผนการปฏิรูปทั้ง 6 ด้าน อยู่แล้ว โดยเฉพาะเพื่อเด็กและเยาวชน ส่วนการรับฟังความคิดเห็น ไม่ได้หมายความว่าการที่ตนไม่ไปคือไม่ได้ฟัง แต่ตนเองก็ได้รับฟังจากสื่ออีกทางหนึ่ง เราต้องหาวิธีการรับมือที่เหมาะสม เพื่อดำเนินการอย่างไรไม่ให้เกิดการลุกลามบานปลาย
ขณะเดียวกัน ต้องเข้าใจว่าการชุมนุมทุกครั้งมีจุดมุ่งหมาย อาจจะดีหรือไม่ดีบ้าง ซึ่งเชื่อว่า ทุกคนทราบดีว่าอะไรเกิดขึ้นในประเทศไทย ในหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เฉพาะปีที่ตนแต่เป็นนายกฯ และรัฐบาล แต่เกิดมา 10 กว่าปีที่แล้ว และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งหมดก็เคยทำความเสียหายให้กับประเทศชาติมาโดยตลอด จึงขอให้เปรียบเทียบความเสียหายในประเทศที่ตนเองทำให้ประเทศว่ามีมากน้อยแค่ไหน พร้อมถามว่าตั้งแต่ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีบริหารประเทศมาเคยทำอะไรให้ประเทศหยุดชะงักหรือไม่ และตนเองก็ไม่เคยมีเรื่องการทุจริต ขอให้นำสิ่งเหล่านี้มาเปรียบเทียบกันและยืนยันว่าสิ่งที่ตนเองทำทุกวันนี้ได้ใช้สติปัญญาในการรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วน แม้กระทั่งนักเรียน นักศึกษา และรับรู้ข้อเรียกร้อง แต่ขอร้องอย่างเดียว ไม่อยากให้แต่ต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเคารพนับถือเธอ และอย่าลืมว่าคนไทยมี 66 ล้านคน แม้จะมีคนมาชุมนุมมากหรือน้อยแต่ตนเองถือว่าคนทั้งประเทศไม่ได้เห็นด้วยกับการชุมนุมดังกล่าว
ยันไม่กีดกันการชุมนุมย้ำพร้อมจะปฏิบัติตามถ้าเรียกร้องในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถามว่า หากเด็กนักเรียนนักศึกษาเผลอไปหรือคิดไม่ได้ด้วยจิตใจบริสุทธิ์จะเป็นอันตรายต่อเด็กหรือไม่ และประเทศจะมีอนาคตแบบนี้ใช่หรือไม่ ซึ่งตนเองไม่ได้กีดกันการชุมนุม ถ้าเรียกร้องในสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นไปได้ ก็พร้อมที่จะปฏิบัติตาม แต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ต้องถามคนส่วนใหญ่ และไม่ใช่นักศึกษาทั้งหมด แต่เป็นนักศึกษาเพียงบางส่วน ที่ตนจะต้องรับฟังและตอบคำถามให้ได้ ว่าเกิดอะไรในบ้านเมือง ขณะนี้กำลังเผชิญวิกฤติอะไรโดยเฉพาะปัญหาด้านเศรษฐกิจหากทุกอย่างมารุมเร้ากันหมด ก็ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย ซึ่งเป็นสิ่งที่บางคนคาดหวังอยากให้เกิดขึ้น แต่ถามว่าคนเรานั้นพร้อมหรือไม่ที่จะเข้ามาแก้ปัญหา และจะเป็นการนำพากันเสื่อมลงไปทั้งหมดหรือไม่ จะควบคุมกันไหวหรือไม่ในวันหน้า ตราบใดที่ยังมีเหตุการณ์แบบนี้ วันหน้าก็จะมีอีกฝ่าย จึงถามว่าประเทศไทยจะอยู่กันอย่างไรดังนั้นจึงขอให้เคารพอัตลักษณ์ความเป็นไทยที่มีชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อยู่คู่คนไทยหลายร้อยปี ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์มีคุณูปการต่อประเทศมาโดยตลอด จึงย้ำว่าอย่าลืมสิ่งที่เป็นพื้นฐานของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ ดังนั้นถามว่าสิ่งเหล่านี้ควรถูกทำลายหรือไม่ และยังระบุอีกว่า ทุกประเทศล้วนมีสถาบันที่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา บางทีอาจจะต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น แต่อย่างว่าบางอย่างเป็นไปไม่ได้ เช่นที่ประเทศอังกฤษหากนักศึกษาเรียนจบ และขอให้จ้างงานเดือนละ 50,000 เหรียญจะสามารถทำได้หรือไม่
นอกจากนี้ ยังได้มีการยกตัวอย่างพ่อลูกที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ลูกก็ออกมาประกาศตัดพ่อ จึงถามว่าประเทศจะอยู่อย่างนี้หรือ หากเป็นเช่นนั้นหมายความว่าประเทศล่มสลาย หลังจากเกิดการจลาจลทางการเมืองต่อไป ซึ่งตนเองไม่อยากให้ไปถึงจุดนั้น และสื่อต้องช่วยตนเองด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนการแถลงข่าวและตอบคำถามสื่อฯ นักข่าวได้เข้าไปใกล้โพเดียมแถลงข่าว เพื่อบันทึกภาพนายกฯ ทำให้นายกฯ กล่าวว่า ตนเองก็พูดออกไมค์อยู่แล้ว ทำไมต้องมาใกล้ขนาดนั้น ทำตัวให้เป็นผู้เจริญหน่อย
นายกฯ ยันรัฐบาลไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาการชุมนุม
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาอยู่แล้ว จะเห็นว่าดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไม่ได้ห้ามการชุมนุมเพียงแต่ให้ชุมนุมโดยสันติ ซึ่งไม่ใช่เพียงการใช้อาวุธหรือไม่ใช้อาวุธหรือการใช้ความรุนแรง แต่รวมถึงการกล่าวด้วยความอาฆาตมาดร้าย การด่าหยาบคาย เหล่านี้ คิดว่าไม่เคยเกิดในสังคมไทย จึงต้องขอร้องสื่อให้หยุด ซึ่งไม่ใช่หมายถึงการหยุดให้ข่าว แต่ขอให้สื่อช่วยเตือนด้วย ไม่ใช่เปิดเวทีให้เรื่อยๆก็จะทำให้บ้านเมืองเราสับสนอลหม่านไปหมด และอย่าลืมว่าวันนี้ทุกประเทศมีปัญหาด้านเศรษฐกิจ จึงไม่อยากให้ใครใช้ประโยชน์ในช่วงนี้ช่วงที่ประชาชนมีความอ่อนไหว แต่วันนี้เราต้องมาพูดถึงอนาคตว่าจะเดินหน้าอย่างไร และไม่ใช่เอาทุกอย่างมาโยงกันทั้งหมด ท้ายที่สุดก็กลายว่ารัฐบาลไม่ดี จึงต้องถามว่ารัฐบาลที่ดีควรจะทำอย่างไรก็ต้องไปหามาให้ตน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า บางข้อเรียกร้อง เช่น 1.ทุกคนจบมาต้องมีงานทำเงินเดือน เดือนละ 5 หมื่นบาทมีที่ไหนทำได้ 2.ต้องผ่อนรถให้ทุกคน และ3.ให้เก็บภาษีเฉพาะคนรวย สิ่งเหล่านี้มันมีความเป็นไปได้หรือในข้อเท็จจริง ฝากไปยังสถานศึกษาบรรดาครูอาจารย์แม้กระทั่งนักการเมืองที่อาจจะมีความคิดต่างออกไป ซึ่งตนเองเคารพความเห็นต่างอยู่แล้ว และที่ผ่านมาไม่ว่าตนเองเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยไหนก็ตาม ก็จะใช้อำนาจให้น้อยที่สุดและวันนี้ก็ใช้อำนาจเฉพาะในกรอบของการบริหารในสถานการณ์ปกติทั้งสิ้น นี่คือสิทธิเสรีภาพที่ทุกคนต้องยอมรับ แต่การก้าวล่วงคนอื่นเหมาะสมหรือไม่ สังคมไทยต้องไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง