ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานแถลงผลการปฏิบัติในรอบ 3 เดือน ของศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่าน ระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์(ศป.ฉปทน.ตร.) โดยมี พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พล.ต.อ.ชัยยะ ศิริอำพันธ์กุล ประธานคณะกรรมการ ปปง. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการสำนักงาน กสทช. พล.ต.ต.รมยสิทธิ์ วีริยาสรร รักษาราชการแทน เลขาธิการ ปปง. พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบช.ทท. อุปทูตกัมพูชาและมาเลเซียประจำประเทศไทย เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งประชาชนผู้เสียหายจากการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กว่า 100 ราย เข้าร่วมรับฟังการแถลง
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าที่ผ่านมามีกลุ่มคนร้ายใช้โทรศัพท์ผ่านอินเตอร์เน็ต (VoIP) อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ หลอกลวงให้ประชาชนหลงเชื่อ ทำให้สูญเสียเงินเป็นจำนวนมาก การกระทำดังกล่าวเรียกว่า “กลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์” ทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงและความผาสุกของคนไทย ผบ.ตร.จึงจัดตั้งศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบโทรศัพท์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์(ศป.ฉปทน.ตร.) มีพล.ต.อ.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์ฯ มีตนเองเป็นรองผู้อำนวยการ และหัวหน้าชุดปฏิบัติการ
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลการปฏิบัติในรอบ 3 เดือน ของศูนย์ฯ ได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายทั่วประเทศ จำนวน 383 คดี มูลค่าความเสียหายประมาณ 200 ล้านบาท ออกหมายจับผู้ต้องหา 373 หมาย จับกุมได้แล้ว 229 หมาย สามารถอายัดเงินของผู้เสียหายจากการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 66 ราย รวมเป็นเงิน 12,523,064.73 บาท ส่วนด้านการปราบปราม สามารถจับกุมผู้กระทำผิดทั้งชาวไทยและต่างชาติ รวม 255 ราย ร่วมกับสำนักงานกสทช.จับกุมบริษัทที่ให้บริการ VoIP จำนวน 6 ราย ร่วมกับสำนักงาน ปปง.ยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มากจากการกระทำผิด จำนวน 120 ล้านบาท และล่าสุดได้ประสานงานกับทางรัฐบาล ให้เข้าไปประสานข้อมูล และจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศมาเลเซียและกัมพูชา 5 แห่ง สามารถจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 55 ราย ขณะที่ด้านการป้องกัน ได้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อมูลการกระทำผิดของกลุ่มคนร้ายผ่านทางสื่อต่างๆ โดพยเผิดสายด่วน 1155 และ1910 ให้ประชาชนโทรมาแจ้งข้อมูลและประสานสำนักงานกสทช.บล็อกเบอร์โทรศัพท์ที่คนร้ายใช้สัญญาณ VoIP ปลอมหมายเลขโทรศัพท์ โทรเข้ามาหลอกลวงประชาชนจำนวนกว่า 150 หมายเลข
“นอกจากนี้ยังได้บูรณาการกับสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงต่างประเทศ ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง กองทัพภาค 1 กองทัพภาค 2 ใน
การสืบสวนติดตามจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาโดยตลอด ทำให้สถิติการเกิดคดีลดลงอย่างเห็นได้ชัด และมีการแจ้งเบาะแสข้อมูลแก่เจ้าหน้าที่มากขึ้น ทำให้ประชาชนถูกหลอกน้อยลง อย่างไรก็ตามแม้การปฏิบัติจะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่คงยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ผบ.ตร.ได้กำชับให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุก ในทุกภาคส่วน ทั้งนี้ เพื่อปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดสิ้นไปจากประเทศโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกรูปแบบ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ตามนโยบายรัฐบาลต่อไป”รองผบช.ทท.ระบุ
พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นวงกว้าง หลายคนต้องสูญเสียเงินก้อนสุดท้ายในชีวิต รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงมีนโยบายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดตั้งศูนย์แห่งนี้ เพื่อปราบปรามผู้กระทำผิด ตลอดจนช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหาย รวมทั้งให้ความรู้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ซึ่งผลการปฏิบัติเป็นที่น่าพอใจ ตรงตามความต้องการของรัฐบาล ตรงนี้ถือเป็นความร่วมมือของทุกหน่วยงาน ทั้ง กสทช. ปปง.รวมทั้งสถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียและกัมพูชา ที่ให้ความร่วมมือกับตำรวจจนนำไปสู่การจับกุมผู้กระทำผิดทั้งในประเทศและประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ ทำให้ประาชนไม่ต้องถูกหลอกลวงอีกต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังการแถลงผลการปฏิบัติงาน พล.อ.ประวิตร ได้มอบเงินที่เจ้าหน้าที่สามารถอายัดไว้ได้ทันคืนให้กับผู้เสียหาย จำนวน 17 ราย รวมเป็นเงินจำนวน 2,159,675.50 บาท ในจำนวนนี้มี 6 ราย ที่เจ้าหน้าที่สามารถอายัดเงินได้เต็มจำนวน