ดร.ยรรยง ไทยเจริญ รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสูงสุด Economic Intelligence Center ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่า ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย(GDP) ในปี 2562 เหลือ 2.8% จากประมาณการเดิมที่ 3% โดยมีสาเหตุหลักมาจากสงครามการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มส่งผลเป็นวงกว้างมากขึ้นในหลายประเทศ โดยผลกระทบในระยะหลังไม่ได้กระจุกตัวเพียงแค่การผลิตภาคอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ และการลงทุน แต่เรื่มจะกระจายตัวทำให้ภาคบริการชะลอตัวลงอีกด้วย นอกจากนั้น ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวต่อเนื่อง เมื่อรวมกับการแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง ก็จะทำให้ภาคการส่งออกและการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในรูปของเงินบาทได้รับผลกระทบ ดังนั้น อีไอซีจึงมีการปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของมูลค่าส่งออกเป็นหดตัวที่ 2.5% ขณะที่ภาคท่องเที่ยว แม้จะคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ 40.1 ล้านคน แต่มีการปรับลดประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวตามการแข็งค่าของเงินบาท
สัญญาณการชะลอตัวของการใช้จ่ายภาคเอกชนชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะยอดขายที่อยู่อาศัยในภาคอสังหาริมทรัพย์และยอดการขายรถยนต์ที่หดตัว ตามภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัวลงสะท้อนไปถึงการจ้างงานที่หดตัว โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตรที่ซบเซา รวมถึงรายได้จากภาคการท่องเที่ยวที่หดตัว ซึ่งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดตัวต่ำลงรวมถึงความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจากสัญญาณคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงและมาตราการกำกับการดูแลการให้สินเชื่อที่เข้มงวดขึ้น สำหรับมาตารการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ประกาศในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางอีไอซีได้ประเมินส่าจะมีผลช่วยพยุงการใช้จ่ายสินค้าไม่คงทนในช่วงที่เหลือของปี 2562
สำหรับปี 2563 คาด GDP ไทยจะขยายตัวที่ 2.8% ตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีการชะลอตัวต่อเนื่องและภาวะหนี้ครัวเรือนที่จะกดดันกำลังซื้อในประเทศ จากผลกระทบของสงครามการค้าที่ยืดเยื้อและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในหลายประเทศ ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเปราะบาง ดังนั้นประเมินว่าการฟื้นตัวของการส่งออกไทยจะเป็นไปอย่างช้าๆ ที่
0.2% ในปี 2563 การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงจากปี 62 เล็กน้อย ประกอบการก่อสร้างภาคเอกชนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากมาตราการ LTV นอกจากนี้ การบริโภคภาคเอกชนมีการชะลอตัวลงจากหลายปัจจัย ได้แก่ หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน จึงทำให้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการบริโภคของภาครัฐรวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจะมีบทบาทมากขึ้นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2563
ด้านนโยบายการเงินของไทย มองว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในไตรมาสที่ 4/2562 สู่ระดับ 1.25% ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์และจะคงอัตราดอกเบี้ยตลอดปี 2563
แม้ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา กนง. จะได้ลดดอกเบี้ยลงแล้ว 1 ครั้งและล่าสุดในการประชุมในเดือนกันยายนได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจของทั้งปี 2562 และปี 2563 ความเสี่ยงทั้งจากในและนอกประเทศที่ยังมีสูง ทำให้ กนง. มีโอกาสปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 63 ที่คาดว่าจะโตถึง 3.3% ลงได้อีก ประกอบกับแนวโน้มเงินเฟ้อที่ยังต่ำกว่ากรอบเป้าหมายทั้งในปีนี้และปีหน้า น่าจะทำให้ กนง. พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้งในไตรมาสที่ 4/2562 และจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.25% ตลอดทั้งปี 2563
เพื่อประคับประคองกำลังซื้อในประเทศผ่านช่องทางการลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งแม้จะไม่กระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมใหม่ได้มากนักภายใต้ความไม่แน่นอนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง แต่จะมีส่วนช่วยลดภาระการขำระหนี้ให้กับครัวเรือนแลธุรกิจ SME ที่มีหนี้อยู่แล้ว ส่วนของปัญหาเสถียรภาพระบบการเงินจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องยาวนาน กนง. น่าจะใช้มาตรการ macro และ micro prudential เป็นดครื่องมือหลักในการจัดการความเสี่ยง สำหรับทิศทางของค่าเงินบาท ประเมินว่า ค่าเงินบาทจะยังได้รับแรงกดดันด้านแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่องจากดุลย์บัญชีเดินสะพัดของไทยที่เกินดุลย์สูง
แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางในภูมิภาคที่อาจจะทำได้มากกว่าของไทยซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว
ตลอดจนเงินทุนที่เคลื่อนย้ายเข้ามาเป็นช่วงๆจากการที่เงินยาทถูกมองว่าเป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยของภูมิภาค ซึ่งจะทำให้ค่าเงินบาทเคบื่อนไหวอยู่ในช่วง 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปี 2563
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปมาจากทั้งภายในและภายนอก โดยสงครามการค้ายังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่อาจจะทีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นได้อีกและอาจจะทำให้การส่งออกและการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบมากกว่าที่คาด ซึ่งผลกระทบนี้อาจทำให้เศรษฐกิจไทยในปี 2563 ชะลอลงมากกว่าที่คาด นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ต้องจับตาคือความขัดแย้งด้านภูมิศาสตร์ เช่น Brexit การประท้วงในฮ่องกง และความขัดแย้งระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่อาจทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอเพิ่มขึ้นและอาจเกิดความผันผวนในตลาดเงินโลกได้ขณะที่ความเสี่ยงภายในแระเทศมาจากความเปราะบางทางการเงินที่มีมากขึ้นทั้งในส่วนของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ SME ที่จะมีแนวโน้มสูงขึ้นจากผลกระทบของภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นรายได้ที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจ จากการล่าช้าในการจัดงบประมาณ รวมถึงประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายของภาครัฐ ก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงภายในสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
