น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือ “โบว์” แกนนำกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กระบุว่า จดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา “ข้อกังวลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศ ภายใต้รัฐธรรมนูญ และ พรบ.การชุมนุมสาธารณะ”
โบว์ขออนุญาตมีจดหมายนี้ถึงท่านด้วยภาษาแบบพี่น้องร่วมชาติคุยกัน และส่งผ่านสื่อที่ดูเหมือนจะไม่เป็นทางการแต่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างเฟสบุ๊ค เพื่อสื่อสารเรื่องสำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านที่มีผลต่อการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ
นับตั้งแต่มี พรบ.การชุมนุมสาธารณะปี 58 และรัฐธรรมนูญปี 60 ประกาศใช้ เจ้าหน้าที่เกือบทั้งหมดดูเหมือนจะขาดความเข้าใจ ว่าสิทธิในการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 นั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อก่อความวุ่นวายให้บ้านเมือง แต่การใช้สิทธิดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการสื่อสารเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ และตรวจสอบผู้ถืออำนาจ ซึ่งสิทธิเสรีภาพดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกยกไว้ในลำดับความสำคัญต้นๆของทุกประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย และได้รับการรับรองในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีทัศนคติที่คลาดเคลื่อนต่อหลักการดังกล่าว การปฏิบัติงานภายใต้พรบ.การชุมนุมสาธารณะจึงสะท้อนให้เห็นปัญหาต่อไปนี้
1. “ไม่เข้าใจ”
แทนที่เจ้าหน้าที่จะเข้าใจบทบาทของตนในการอำนวยให้ผู้ชุมนุมได้ใช้เสรีภาพอย่างเต็มที่ภายใต้กรอบกฎหมาย ก็กลับปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะ “จับผิดและพยายามสกัดกั้น” ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการชุมนุม
พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะจึงกลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ดำเนินคดีกับผู้ชุมนุม โดยเฉพาะเมื่อการชุมนุมได้ผ่านพ้นไปด้วยดีแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ยังย้อนกลับมาใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือจัดการผู้ชุมนุมในภายหลังอีก เช่นกรณีกลุ่มคนอยากเลือกตั้งบนสกายวอล์คเมื่อ 27 ม.ค. 61 ที่มีการตั้งข้อหาว่าชุมนุมใกล้เขตพระราชฐานต่ำกว่า 150 เมตร ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 7 โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าวัดระยะห่างในภายหลังได้ 148.53 เมตร คือขาดไปเมตรกว่าๆ ทั้งที่ระหว่างการชุมนุมก็ไม่ได้มีการทักท้วงในประเด็นนี้เลย หรือล่าสุดที่ท่าน้ำนนท์ เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นลานกิจกรรมที่ผู้ชุมนุมใช้เป็นจุดนัดพบอย่างสงบเรียบร้อยก่อนเดินทางยื่นหนังสือถึงกกต. ก็กลับถูกห้ามปรามและตั้งข้อหาหลังการชุมนุมผ่านพ้นไปโดยสงบกว่าหนึ่งสัปดาห์
2. “ไม่ได้มาตรฐาน”
พบว่าความรู้เกี่ยวกับ พรบ.ชุมนุมฯ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดไม่ได้มาตรฐานจนส่งผลให้เกิดการปฏิบัติที่หลากหลาย เช่น ความรู้เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของประชาชนผู้แจ้งการชุมนุมและเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับแจ้งการชุมนุม ตามมาตรา 10 และ 11 บ่อยครั้งที่ประชาชน นักกิจกรรม นักศึกษา โดยเฉพาะนอกกรุงเทพมหานคร เดินขึ้นโรงพักเพื่อแจ้งการชุมนุม และได้รับคำตอบว่า “ไม่อนุญาต” ในทันที ทั้งที่เจ้าหน้าที่มีอำนาจตามมาตรา 11 ในการตรวจสอบแก้ไข รับแจ้ง และแนะนำข้อพึงปฏิบัติตามพรบ.ชุมนุมฯเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ผู้แจ้ง
ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนผู้ต้องการใช้สิทธิเสรีภาพในหลายจังหวัดต้องประสบความยากลำบากในการสร้างความเข้าใจ พรบ.ชุมนุมฯต่อเจ้าหน้าที่ก่อนจะได้จัดกิจกรรม อีกทั้งนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยถูกสกัดกั้นการชุมนุมโดยสงบทั้งที่เนื้อหาในการแจ้งไม่มีส่วนใดขัดต่อกฎหมาย
3. “ไม่เสมอภาค”
เราพบเห็นการเลือกปฏิบัติที่เป็นสองมาตรฐานชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีของกลุ่มคนอยากเลือกตั้งที่ยึดแนวทางสันติวิธีแต่มักถูกห้ามปรามและสร้างความขลุกขลัก เช่นความพยายามห้ามใช้เครื่องเสียงก่อนการชุมนุม การพยายามต่อรองให้ลดเวลาลงจากที่แจ้ง การจับผิดเรื่องระดับเสียงจนเกิดสถานการณ์ยึดเครื่องเสียงขนาดเล็กของเรา เช่นที่เกิดเมื่อวันที่ 13 ม.ค. ก่อนจะตรวจสอบหลักฐานพบว่าไม่มีอะไรที่เกินกรอบตามกฎหมาย ในขณะที่ม็อบสนับสนุนรัฐบาลต่อต้านคนอยากเลือกตั้งสามารถใช้รถเครื่องเสียงขนาดใหญ่ และชุมนุมได้ตั้งแต่ต้นจนจบโดยปราศจากการสกัดกั้นขัดขวางและจ้องจับผิด
บรรยากาศที่เกิดขึ้นอันเกิดจากการปฏิบัติงานด้วยความ “ไม่เข้าใจ ไม่ได้มาตรฐาน และไม่เสมอภาค” นี้ ไม่เป็นผลดีต่อพัฒนาการประชาธิปไตยและการเลือกตั้งที่จะมาถึง ซึ่งควรเกิดขึ้นในบริบทที่เสรีเป็นธรรม เพื่อให้เป็นผลดีในทางปฏิบัติ
สุดท้ายนี้ เราทุกคนผู้เคยมีประสบการณ์กับการจัดการชุมนุมทราบดีว่า เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการนั้นได้รับความกดดันใหญ่หลวงจากอำนาจที่อยู่นอกเหนือจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับต้องรับภาระ ความไม่สบายใจจากการละเมิดสิทธิเสรีภาพประชาชน และความเสี่ยงจากการถูกดำเนินคดีข้อหาปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
ขอแสดงความเห็นโดยสุจริตและจริงใจว่าท่าน ผบ.ตร. ในฐานะผู้บังคับบัญชา ควรแสดงความกล้าหาญปกป้องลูกน้องให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเป็นอิสระจากอำนาจของหน่วยงานนอกระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ตำรวจไทยได้เป็นที่พึ่งของประชาชน ในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์และต้นทางของกระบวนการยุติธรรมต่อไป จึงขอนำเรียนมาด้วยความห่วงใย น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา 22 มกราคม 2562