”ประธาน ก.ตร.”ป้ายแดง ชิมลางใช้กม.ใหม่ตั้ง”ผบ.ตร. ระวัง ตาอยู่ แซงโค้งนั่งเจ้าสำนักปทุมวัน
             

         กลายเป็นประเด็นฉาวโฉ่ทิ้งท้ายก่อนที่ พล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ เกษียณจากตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)และประเดิมตัวอย่างการบ้านของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)

    เมื่อมือปืนกระหน่ำยิงสารวัตรทางหลวงตาย ในบ้านกำนันทรงอิทธิพลเมืองนครปฐม ต่อหน้าต่อตาตำรวจระดับ พ.ต.อ. ทั้งจาก ทางหลวงภูธรและนครบาล ขณะนำตำรวจกว่า 20 นาย ไปพินอบพิเทาเป็นลมใต้ปีกให้กำนัน โดยไม่ได้จับกุมคนร้ายและคนสั่งการ แถมถูกมองว่าเป็นทะแนะให้ทำลายหลักฐานในที่เกิดเหตุอีกต่างหาก

   สาเหตุจะมาจากปมใดก็ไม่อยากคาดเดา แต่เป็นทางลบแน่นอน เพราะเส้นแบ่งระหว่างโจรกับตำรวจเป็นแค่เส้นบางๆ ยิ่งส่องพฤติกรรมของกำนัน เป็นที่รับรู้ของชาวบ้านและตำรวจภูธรภาค 7 และทางหลวง ว่าทรงอิทธิพลแค่ไหน
 

กรณีนี้เป็นบทสะท้อนอันสำคัญว่าการปฏิรูปตำรวจ เป็นแค่น้ำยาม้วนปากของผู้มีอำนาจมีไว้ชำระกลิ่นปากอันเน่าเหม็น เป็นข้ออ้างไว้อธิบายกับสังคมให้ดูดีเท่านั้น แม้จะมีกฎหมายดีแค่ไหนก็มีไว้บังคับใช้กับตำรวจที่ไร้นาย ไร้พวกและไร้เงินเท่านั้น

   จากเหตุดังกล่าวน่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นรูปธรรมให้นายเศรษฐา ได้มองเห็นปัญหาองค์กรตำรวจได้หลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาการบริหารงานบุคคลและตำรวจเป็นลมใต้ปีกให้กับผู้มีอิทธิพลทำธุรกิจสีเทา

  ดังนั้นเพื่อจัดระเบียบให้เข้ารูปเข้ารอย นายเศรษฐา ต้องทำเป็นตัวอย่างให้เห็นว่ากฎหมายตำรวจที่บังคับใช้ปี 2565 ศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่
   

ถ้าส่องดู พ.ร.บ.ตำรวจฯปี2565 ในส่วนของการแต่งตั้งมีที่บัญญัติไว้ค่อนข้างชัดเจนการใช้ดุลพินิจตามมาตรา 77 (1)ระบุว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งข้าราชการตำรวจยศ พล.ต.อ.ซึ่งดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติหรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

    ประกอบมาตรา 78(1)ระบุว่าระบุว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77(1)ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกข้าราชการตำรวจมาตรา77(1)โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามฯ

   หากตีความน่าจะหมายถึงยึดอาวุโส 50 เปอร์เซ็นต์ ความรู้ความสามารถ 50 เปอร์เซ็นต์  ประเด็นอาวุโสไม่ต้องตีความมากเพราะในบัญชีเรียงตามลำดับอยู่แล้ว  

        แต่ความรู้ความสามารถจะตีความแบบไหนขึ้นอยู่กับนายเศรษฐา ในฐานะผู้เสนอชื่อว่าจะเลือกแบบทำงานฉาบฉวยสร้างภาพกับครองตำแหน่งยาวและมีผลงาน

    สำหรับอาชีพตำรวจเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นงานที่ต้องสั่งสมประสบการณ์ เพราะแต่ละตำแหน่งล้วนแต่ต้องเรียนรู้ถึงภาระหน้าที่ กฎระเบียบ กฎหมาย เพราะต้องนำไปใช้บริการประชาชนและใช้เมื่อขยับเป็นผู้บังคับบัญชา อาทิตำแหน่งผู้กำกับการ(ผกก.)หัวหน้าโรงพัก หรือหัวหน่วยปฏิบัติการ ต้องเรียนรู้งานทั้งงานสอบสวน สืบสวน และงานป้องกันและปราบปราม เพราะแต่ละงานต่างมีเทคนิคและกลเม็ดที่แตกต่างกันไป
 
หากงานใดถ้ารองผกก.หรือสารวัตร(สว.)เล็งแต่โกยผลประโยชน์เดินในทางอโคจร ถ้าผกก.ไร้ประสบการณ์ก็จะถูกชักเข้ารกเข้าพงได้  หรือตำแหน่งระดับผู้บังคับการ(ผบก.)หรือผู้บัญชาการ(ผบช.) ต้องล้วนใช้ประสบการณ์แทบทั้งสิ้นบ่อยครั้งที่มีข่าวฉาวของวงการสีกากี เมื่อตรวจลึกลงไปจะพบว่าผบก.หรือผบช.โตแบบค้ำถ่อมาแทบทั้งสิ้น เหตุยิงสารวัตรในบ้านกำนันพอสะท้อนได้อย่างดี

ถ้ากลับมามองในภาคธุรกิจ ผู้บริหารจะเล็งผลเลิศถึงความก้าวหน้าขององค์กรและธุรกิจ ดังนั้นการเลือกใช้คนจะเป็นปัจจัยสำคัญ
 
ยกตัวอย่างบริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สร้างอาคารชุดหรือคอนโดมิเนียมขาย หากมีบริษัทก่อสร้างเป็นของตัวเอง การคัดเลือกวิศวกรคุมโครงการต้องดูประสบการณ์การทำงานว่ากว่าจะมาเป็นวิศวกรคุมโครงการได้ผ่านงานคำนวณแบบ งานเซอร์เวย์หรือคุมคนงานก่อสร้างมากี่ปี เพราะแต่ละงานล้วนแต่ต้องใช้ประสบการณ์และเทคนิคในการทำงานแทบทั้งสิ้น หากได้วิศวกรที่ไร้ประสบการณ์โอกาสที่แท่งคอนโดมิเนียมพังครืนก็จะสูง
 
ตัวอย่างดังกล่าวน่าจะเป็นประสบการณ์หนึ่งที่นายเศรษฐา ในฐานะนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่นำพาธุรกิจประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับทั้งในและนอกประเทศ เคยสัมผัสมาบ้าง เมื่อมานั่งตำแหน่งประธานก.ตร.เป็นผู้เสนอชื่อรองผบ.ตร.เป็น ผบ.ตร.ลองใช้ประสบการณ์คัดสรรวิศวกรคุมงานปรับใช้ เพื่อให้องค์กรสีกากีได้ผู้นำที่มีมากประสบการณ์ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องแปลก

    “ดังนั้นก็ลองส่องประวัติ 4 รองผบ.ตร.แคนดิเดต ผบ.ตร.เรียงตามลำดับอาวุโสและอายุครองตำแหน่งก็ จะพบว่า พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ ครองตำแหน่งผกก.-รองผบ.ตร. เป็นเวลา 21 ปี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ครองตำแหน่งผกก.-รองผบ.ตร. เป็นเวลา 14 ปี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ครองตำแหน่งผกก.-รองผบ.ตร.เป็นเวลา 18 ปี และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ครองตำแหน่งผกก.-รองผบ.ตร. เป็นเวลา 6 ปี”
   
แต่เมื่อจับกระแสความเคลื่อนไหวการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ก่อนจะถึงวันนัดประชุมก.ตร.ก็พอจับเค้าได้ว่าเป็นการบ้านข้อยากสำหรับนายเศรษฐา เพราะมีเสียงนินทาว่าการกลับประเทศของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็อยู่ในสมการนี้ด้วย
   
ดังนั้นก่อนที่จะนัดประชุม ก.ตร.เพื่อตั้งผบ.ตร. นายเศรษฐาต้องให้ทีมกฎหมายศึกษากฎหมายตำรวจฉบับแบบใหม่ให้แตกฉาน ถ้าตัดสินใจผิดพลาดละเลยมาตรา 78(1)แต่ลืมมองมาตรา 87 โอกาสที่จะไปนั่งในคุกหลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็มิได้อยู่เหนือความคาดหมาย
   
“แต่ถ้าอยากจะได้ ผบ.ตร.ตามที่สื่อหลายสำนักฟันธงและหลายฝ่ายคาดหวัง นายเศรษฐาแก้เกมโดยย้าย พล.ต.อ.รอย ไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)แทน พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม ที่เกษียณอายุ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพล.ต.อ.รอย ด้วยว่าจะยอมลดศักดิ์ศรีหรือไม่ เพราะกฎหมายตำรวจมาตรา 93 ระบุว่าการโอนข้าราชการตำรวจไปหน่วยงานอื่นจะทำได้เมื่อเจ้าตัวสมัครใจ”

  ถ้า พล.ต.อ.รอย ยินยอม นายเศรษฐา เลือกแนวทางนี้อยากให้มองบนเข้าไว้ก็จะเห็นมาตรา 78(1)และมาตรา 87 ลอยอยู่เสมือนกฎเหล็กค้ำหัว และการปฏิรูปตำรวจก็เป็นแค่น้ำยาบ้วนปากเหมือนเดิม

    เมื่อถึงบทสรุปสุดท้าย

ตำแหน่ง”ผบ.ตร.”แทนที่จะตกอยู่ในมือของตานา ก็จะไปตกในมือตาอยู่ชื่อ”สุรเชษฐ์ หักพาล”ที่แอบลุ้นแอบวิ่งล็อบบี้อยู่เงียบๆก็เป็นได้ !!!


 

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img